'หลี่'ผูกมิตร'อาเซียน' ชูสันติภาพทะเลจีนใต้

       นายกรัฐมนตรีหลี่เค่อเฉียงของจีนรับไม้ต่อจากประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เดินทางร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออกที่บรูไน กล่อมชาติอาเซียนควรร่วมมือและสร้างมิตรภาพกันเพื่อสันติภาพในทะเลจีนใต้ ดันขยายร่วมมือการค้าเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่า

       การประชุมนาน 2 วันที่บรูไนเริ่มขึ้นเมื่อวันพุธที่ 9 ตุลาคม โดยกลุ่มอาเซียนที่มี 10 ชาติสมาชิกได้จัดการประชุมเจรจาทั้งกับผู้นำจีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ และสหรัฐ แยกกันในวันแรก ก่อนที่ทั้งหมดจะประชุมร่วมกันในเวทีใหญ่ของอีสต์เอเชียซัมมิตที่มีรวมทั้งหมด 18 ชาติต่อไปในวันพฤหัสบดี

       ระหว่างการประชุมกับผู้นำชาติอาเซียนซึ่งหลายชาติมีข้อพิพาทแย่งชิงดินแดนในทะเลจีนใต้กับจีน หลี่ชี้ว่า ทะเลจีนใต้ที่สงบสันติถือเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย "เราควรร่วมมือกันเพื่อทำให้ทะเลจีนใต้เป็นทะเลแห่งสันติภาพ, มิตรภาพ และความร่วมมือ" ผู้นำจีนกล่าวต่อที่ประชุมจีน-อาเซียนซัมมิตครั้งที่ 16

       นายกฯ หลี่มาร่วมประชุมประจำปีกับอาเซียน แทนที่ประธานาธิบดีสีซึ่งเข้าร่วมเวทีประชุมเอเปกที่อินโดนีเซีย 2 วันก่อนหน้านั้น ขณะที่ฝ่ายสหรัฐ ผู้แทนยังคงเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ จอห์น แคร์รี ซึ่งมาเป็นตัวแทนของประธานาธิบดีบารัค โอบามา

       เดิมนั้น โอบามาตั้งใจจะแสดงบทบาทผู้นำในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกแข่งกับจีน ที่กำลังแผ่อิทธิพลสร้างความกังวลแก่เพื่อนบ้านในย่านนี้ เมื่อต้นปีโอบามากล่าวไว้ด้วยว่า เขาวางแผนจะมาผลักดันข้อตกลงระหว่างจีนกับอาเซียนว่าด้วยการจัดทำหลักปฏิบัติทางทะเล แต่แม้โอบามาจะติดภารกิจในประเทศ แคร์รีก็ยังยืนยันต่อที่ประชุมสหรัฐ-อาเซียนซัมมิตว่า รัฐบาลของโอบามาให้ความสำคัญต่อความเป็นหุ้นส่วนกับอาเซียนในระดับสูงสุด

       รัฐบาลจีนเริ่มเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยยืนกรานจะเจรจาแบบทวิภาคีกับคู่กรณีเท่านั้น โดยยอมรับปากจะเจรจากับกลุ่มอาเซียนเพื่อจัดทำหลักปฏิบัติที่จะใช้หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าได้ กระนั้นผู้เชี่ยวชาญยังมองกันว่าจีนเพียงต้องการซื้อเวลาเพื่อคลายความวิตกของอาเซียน ขณะที่ตนยังแผ่อิทธิพลอย่างต่อเนื่อง
ผู้นำจีนและผู้นำอาเซียนได้ร่วมกันตัดเค้กขนาดยักษ์ ฉลองครบรอบ 10 ปีความสัมพันธ์จีนกับอาเซียนด้วย หลี่กล่าวเรียกร้องให้อาเซียนและจีนเพิ่มความร่วมมือด้านค้าระหว่างกันเป็น 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2563 หรือเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าจากระดับ 4 แสนล้านดอลลาร์เมื่อปีที่แล้ว.

ขอขอบคุณที่มา : ไทยโพสต์