“ญี่ปุ่น” ประกาศสอยเรือรบ “จีน” หากจอดเทียบฝั่งหมู่เกาะพิพาท

     ญี่ปุ่นขู่ใช้กำลังทหาร หากมีเรือตรวจการณ์จีนลำใดจอดเทียบฝั่งหมู่เกาะที่กำลังเป็นที่ขัดแย้งระหว่างทั้งสองชาติ ซึ่งตั้งอยู่บนทะเลจีนตะวันออก

     สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 23 เม.ย. ว่า ทางการญี่ปุ่นประกาศเตรียมใช้กำลังทหาร หากมีเรือตรวจการณ์จีนลำใดจอดเทียบฝั่งหมู่เกาะที่กำลังเป็นที่ขัดแย้งระหว่างทั้งสองชาติ ซึ่งตั้งอยู่บนทะเลจีนตะวันออก หลังมีรายงานปักกิ่งส่งเรือตรวจการณ์ 8 ลำ เดินทางเข้าไปยังน่านน้ำที่กำลังเป็นที่พิพาทกันอยู่
 
     นายกรัฐมนตรีชินโซ อาเบะ ผู้นำญี่ปุ่น แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภา ประกาศพร้อมดำเนินนโยบายโต้ตอบอย่างเด็ดขาดและรุนแรงที่สุด ซึ่งรวมถึงการใช้กำลังทางทหาร หากมีเรือตรวจการณ์ของทางการจีนลำใด จอดเทียบชายฝั่งของหมู่เกาะเซนกากุ หรือเตียวหยูในภาษาจีน เพื่อปกป้องอธิปไตยของโตเกียวจากการรุกรานของชาติอื่น

     ขณะที่นายโยชิฮิเดะ ซูกะ เลขาธิการคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่น แถลงประณามการกระทำของฝ่ายปักกิ่งว่า เป็นสิ่งที่ไม่อาจรับได้อีกต่อไป เนื่องจากไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์ในลักษณะนี้ขึ้น

     รัฐบาลจีนส่งเรือตรวจการณ์ 8 ลำ เดินทางเข้ายังเขตน่านน้ำหมู่เกาะพิพาทตั้งแต่เมื่อเวลา 08.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ( 06.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย ) โดยยังคงแล่นวนเวียนอยู่ในรัศมี 12 ไมล์ทะเลจากชายฝั่งของเกาะหลัก

     ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง 3 ชาติมหาอำนาจแห่งเอเชีย คือจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ เริ่มที่จะตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง ไล่ตั้งแต่การที่อาเบะ และรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลชุดปัจจุบันหลายคน เดินทางไปยังศาลเจ้า “ยาสุคูนิ” กลางกรุงโตเกียว ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้แก่เกาหลีใต้ ถึงขั้นที่นายยุน บยอง-เซ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ ประกาศยกเลิกกำหนดการเยือนกรุงโตเกียว และกระทรวงการต่างประเทศจีนออกมาเรียกร้องให้ญี่ปุ่นแสดง “ความรับผิดชอบ” ต่อสิ่งที่เกิดขึ้น

     อย่างไรก็ตาม สถานการณ์กลับยิ่งอึดอัดขึ้นอีก เมื่อคณะสมาชิกสภานิติบัญญัติญี่ปุ่นเกือบ 170 คน พร้อมใจกันเดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ ซึ่งเป็นสถานที่แสดงถึงความโหดร้ายและการละเมิดสิทธิมนุษยชนของญี่ปุ่น ต่อประเทศเพื่อนบ้านในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในสายตารัฐบาลโซลและปักกิ่งทุกสมัย ก่อนที่บรรยากาศบริเวณทะเลจีนตะวันออกจะกลับมาตึงเครียดขึ้นอีกเป็นคำรบสอง

ขอขอบคุณที่มา : เดลินิวส์ออนไลน์