เอสซีจี รุกตลาดเมียนมาร์ ลงทุน 12,400 ล้านบาท ตั้งโรงงานปูนซีเมนต์ครบวงจรแห่งแรกในเมียนมาร์
เอสซีจี เดินหน้าโครงการลงทุนมูลค่า 12,400 ล้านบาท ตามกลยุทธ์ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียน ก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แบบครบวงจรแห่งแรกในเมียนมาร์ ด้วยกำลังผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี พร้อมโรงไฟฟ้าขนาด 40 เมกะวัตต์ ด้วยเทคโนโลยีสะอาดเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ รองรับการขยายตัวในอนาคต
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า คณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติโครงการลงทุนมูลค่า 12,400 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แบบครบวงจรแห่งแรกในประเทศเมียนมาร์ ภายใต้กฎหมายการลงทุนจากต่างประเทศ (Foreign Investment Law) ด้วยกำลังการผลิต 1.8 ล้านตันต่อปี คาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ประมาณกลางปี 2559 โดยโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แห่งนี้ตั้งอยู่ที่เมืองเมาะลำไย (Mawlamyine) ซึ่งมีแหล่งหินปูนปริมาณมากและเพียงพอในระยะยาว ประกอบกับสามารถขนส่งสินค้าทางน้ำไปยังเมืองย่างกุ้ง ศูนย์กลางการค้าที่สำคัญของประเทศเมียนมาร์
“เอสซีจี เป็นหนึ่งในผู้นำตลาดในประเทศเมียนมาร์ สินค้าเอสซีจีได้รับความเชื่อถือจากลูกค้า มีตราสินค้าเป็นที่รู้จักแพร่หลาย มีระบบห่วงโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ และมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่ง ในปี 2555 เอสซีจีส่งออกปูนซีเมนต์ไปยังประเทศเมียนมาร์ ประมาณ 1.7 ล้านตัน จากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ทั้งหมดประมาณ 4 ล้านตัน ซึ่งคาดว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศเมียนมาร์จะขยายตัวในอัตราประมาณร้อยละ 10 ต่อปี ในระยะเวลา 5 ปีข้างหน้า โครงการนี้จึงถือเป็นการลงทุนครั้งสำคัญ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในประเทศเมียนมาร์และภูมิภาคอาเซียน ต่อเนื่องจากโครงการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ในอินโดนีเซียและกัมพูชา ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์การเติบโตสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียนของเอสซีจี” นายกานต์ กล่าว
ทั้งนี้ เอสซีจีจะถือหุ้นข้างมากในโครงการดังกล่าวที่จะพัฒนาขึ้นตามหลักการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงการลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาด 40 เมกะวัตต์ โดยใช้เทคโนโลยีสะอาดที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ ยังใช้ระบบผลิตไฟฟ้าจากลมร้อนทิ้ง (Waste-heat Generator System) ขนาด9 เมกะวัตต์ ที่ช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า รวมถึงมีท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ที่สามารถรองรับการขยายตัวในอนาคตอีกด้วย