คอลัมน์: เวทีสาธารณะ: อาเซียนลัทธิครอบงำสติปัญญาคนท้องถิ่น
อาเซียน อาเซียน อาเซียน!!! คนไทยเพื่อนรักทุกคน ฉันเบื่อเต็มทีแล้ว เพราะคนเขาจูงเธอไปลงเหวเธอก็ยังสนุกสนานโดยไม่คิดถึงภัยที่มันกำลังคืบคลานมา เธอคงปล่อยให้ฉันห่วงใยเธอมาตลอด ที่เขาว่าคนไทยลืมง่าย บ้างก็ว่าคนไทยอยู่อย่างประมาท พอสบายเข้าหน่อยก็ลืมหมดทุกสิ่งทุกอย่าง นอกจากเชื่อคนง่าย แล้วในอนาคตเธอก็คงต้องนั่งน้ำตาตกใน
เมื่อพูดถึงอาเซียน ฉันหวนกลับไปนึกถึงช่วงปี พ.ศ.2513 วันนั้นฉันได้ยินประกาศว่าจะมีนักการทูตคนไทยคนหนึ่งที่ไปท่องอยู่ในยุโรปหลายประเทศ ผู้ชายคนนี้จะมาพูดเรื่องอาเซียนที่โรงแรมดุสิตธานี ฉันจึงเข้าไปนั่งรอฟังอยู่ตรงหน้าเวทีพอดี ชายคนนั้นไปทำงานทูตอยู่ในยุโรปหลายประเทศ ในที่สุดก็เกิดพิศวาสว่า ยูโรนี่มันดีหนักหนา เพราะมันสบายมาก เพียงถือหนังสือเดินทางเล่มเดียวก็เดินทางเข้าได้ทุกประเทศ นี่แหละเขาเรียกว่าความคิดตกอยู่ในความประมาท พอเห็นกระบวนการที่มันสบายเข้าหน่อยก็เลยเคลิ้มตาม โดยไม่ได้คิดพิจารณาให้ลึกซึ้ง เขาเอายูโรเข้ามาอ้าง แล้วก็คิดว่าจะทำอาเซียนขึ้นมาบ้าง
ช่วงหลังๆ ฉันมักพูดว่า "มะเร็งโรคร้ายนั้นมันยังไม่ร้ายเท่าไหร่เพราะถึงตายก็ตายคนเดียว แต่โรคเอาอย่างกันนี่แหละที่มันทำให้ตายทั้งชาติ" เพราะวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้นถูกทำลายเช่นนี้เป็นต้น ผู้ชายคนนั้นถ้าจะเรียกว่า อาเซียนเข้าไส้ ก็ไม่น่าจะผิด
ฉันเดินทางไปญี่ปุ่นหลายต่อหลายครั้ง ไม่ว่าไปทางไหนก็มักมีคนต้อนรับ แล้วในที่สุดฉันก็ได้เหรียญตราชั้นสูงจากสมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่น เมื่อปี พ.ศ.2523 อยู่มาวันหนึ่งเพราะไทยมีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องกล้วยไม้ทำให้ได้เงินตราเข้าประเทศมากมาย มาเลเซียก็เลยรู้สึกพิศวาส อยากได้บ้าง จึงเสนอให้ประเทศไทยจัดประชุมวิชาการเรื่อง การพัฒนาวงการกล้วยไม้ของชาติ
ในปีนั้น ดร.ประกอบ กาญจนสูญ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร ได้ไปประชุมอาเซียนที่มาเลเซีย แล้วก็หอบเอาคำขอร้องดังกล่าวกลับบ้าน ครั้นกลับมาถึงกรุงเทพฯ ในขณะนั้น กรมวิชาการเกษตรก็ทำอะไรไม่เป็น แต่รู้ว่าตัวฉันอยู่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เลยมาขอร้องให้มหาวิทยาลัยจัดประชุมกล้วยไม้อาเซียนครั้งที่ 1 เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.2525 เพราะรู้ว่าตัวฉันเองอยู่เกษตรศาสตร์ จึงมาขอให้ฉันเป็นประธานจัดงานครั้งนั้น
ฉันได้เชิญเสด็จสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีมา ทรงเปิดงานให้ที่หอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัย สิ่งที่ฉันพบครั้งแรกและไม่พอใจอย่างยิ่งก็คือ งานประชุมอาเซียนเขาไม่ให้เกษตรกรชาวบ้านซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติเข้ามาร่วมประชุม คงให้แต่ข้าราชการซึ่งแท้จริงแล้วไม่รู้เรื่องอะไรเลย
ครั้งนั้นฉันได้พูดกับสิงคโปร์ว่า เสร็จแน่ เราทำเริ่มต้นจากชาวบ้านขึ้นมา พอมาถึงอาเซียนกลับไม่ให้ชาวบ้านเข้า เราสู้จนกระทั่งในที่สุดการร่างกฎระเบียบครั้งนั้นต้องเลิกล้ม รัฐบาลเมื่อทราบเรื่องแล้วจึงส่งกฎระเบียบที่ร่างขึ้นมาใหม่กลับมาให้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
ฉันจำได้จนถึงบัดนี้ เพราะเรื่องความไม่เป็นธรรมฉันไม่เคยลืม เธอรู้ไหมอะไรมันเกิดขึ้น ข้าราชการรับเรื่องจากรัฐบาลมาพิจารณาใหม่ ทั้งนี้แย่ยิ่งกว่าเก่า เพราะเหตุว่าเขาปิดประตูห้องโดยไม่ยอมให้คนที่รู้เรื่องเข้าไปร่วม เรื่องเกษตรกรนั้น ตัวฉันเองรู้สึกว่าเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของประเทศ เมื่อทราบว่าเกษตรกรถูกปิดกั้น ฉันจึงคิดว่าเราจะต้องโยนอิทธิพลอาเซียนออกมาจากวงการกล้วยไม้ให้ได้ แล้วเราจะทำองค์กรใหม่
ในที่สุดฉันก็ปรึกษาสิงคโปร์ว่า "มันไม่ได้เรื่องเสียแล้ว ขืนปล่อยให้อาเซียนเข้ามายุ่งเรื่องกล้วยไม้ วงการกล้วยไม้พังแน่" ถ้าใครอยากรู้ความจริงขอให้ไปถาม Mr.kiat Tan ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของ ลี กวน ยู เคียต ตัน เป็นเพื่อนรักของฉัน แล้วในที่สุดเราก็ได้เริ่มก่อตั้งองค์กรใหม่ที่มีชื่อว่า "การประชุมกล้วยไม้ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
สรุปแล้วปรากฏว่า การจัดประชุมเอเชีย-แปซิฟิก ได้เริ่มต้นขึ้นเพราะเราไม่ต้องการอาเซียน เพราะอาเซียนพวกข้าราชการกีดกันประชาชน ถ้าขืนปล่อยให้อาเซียนเกิดขึ้นประชาชนคงตายแน่ มาถึงช่วงปี พ.ศ.2536 ได้มีการจัดประชุมกล้วยไม้ระดับภูมิภาคที่มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ องค์กรนี้มีชื่อว่า Joint President Council องค์กรกลุ่มนี้ประกอบด้วย 3 มลรัฐร่วมมือกันคือ นิวยอร์ก นิวเจอร์ซีย์ และ คอนเนตทิคัต
องค์กรนี้ระหว่างเตรียมจัดประชุมได้สรุปผลว่า ได้เชิญฉันไปเป็นวิทยากรปาฐกถาที่มลรัฐนิวเจอร์ซีย์ จะมีคนมาร่วมฟังไม่น้อยกว่า 400 คน เขาออกค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปกลับระหว่างกรุงเทพฯ กับนิวเจอร์ซีย์ให้ฉัน และขอให้ไปให้ได้ การไปครั้งนั้นโชคดีเหลือเกิน เพราะไปพูดในห้องประชุมที่มลรัฐนิวเจอร์ซีย์แล้ว มีคนเข้าฟังมากมาย
พอพูดจบฉันก็ได้รับคำเชิญจากคุณวรนุช ลูกศิษย์เกษตรศาสตร์คนหนึ่ง ซึ่งเดินทางไปอยู่ที่มลรัฐออริกอน เธอได้ติดต่อฉันแล้วบอกว่า เสร็จบรรยายที่นั่นแล้วขอให้เดินทางมาแวะมลรัฐออริกอน ซึ่งฉันก็ตามใจเธอ ในช่วงที่มีการจัดงานฉลองอายุครบ 90 ปี ที่อาคารจักรพันธุ์ครั้งนี้ คุณวรนุชได้เดินทางจากสหรัฐอเมริกามาร่วมด้วยโดยที่ฉันไม่ได้คาดคิดมาก่อน จากมลรัฐนิวเจอร์ซีย์ หลังเสร็จการปาฐกถาแล้ว ฉันจึงเดินทางกลับบ้านทางด้านทิศใต้โดยผ่านมลรัฐออริกอน ฉันมาพักอยู่ที่บ้านคุณวรนุชเป็นเวลา 2 คืน เพราะเธอต้องการให้ฉันมาเป็นประธานเปิดอาคารกล้วยไม้ไทยให้เธอด้วย
เสร็จจากที่มลรัฐออริกอนแล้ว ฉันก็ได้รับแจ้งว่าทางมลรัฐแคลิฟอร์เนีย โดยคณะนักศึกษาปริญญาโทที่มาจากกลุ่มประเทศอาเซียนเขารอฉันอยู่ที่มหาวิทยาลัยที่เบิร์กเลย์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย เพื่อเชิญให้ฉันไปพูดที่นั่นเรื่อง "การจัดการกับการตลาดของกล้วยไม้ไทย" โดยเฉพาะแต่ก่อนประเทศไทยเคยเป็นทาสการค้าของฮาวาย นักศึกษาที่นั่นสนใจว่า ฉันมีวิธีการอย่างไรที่ทำให้พ้นจากการเป็นทาสการค้ากล้วยไม้ ความจริงเราใช้สมองคิดและเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญเสียด้วย
ฉันวางแผนนำเอาผลงานผสมพันธุ์กล้วยไม้ของทวีปยุโรปมาผสมข้ามกันกับผลงานบนพื้นฐานของฮาวาย ทำเอาทาสการค้าฮาวายของไทยหลุดออกมาสู่อิสรภาพได้สำเร็จ ความจริงเมื่อเขาเชิญฉันไปพูดได้ ฉันก็ไม่ละโอกาสที่จะขอความรู้จากเขาบ้าง ฉันสังเกตเห็นผู้ฟังการปาฐกถาวันนั้นเห็นว่าคนส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ได้รับทุนจากสหรัฐอเมริกา ให้เดินทางมาศึกษาที่นั่น ฉันนึกอยู่ในใจว่าอเมริกาฉลาดเหลือเกิน ในที่สุดฉันจึงรู้ว่าการที่ให้ทุนนักศึกษาจากกลุ่มประเทศอาเซียน เพราะต้องการสร้างกองทัพเศรษฐกิจบนพื้นฐานสหรัฐ เพื่อปล่อยกลับไปกวาดเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศอาเซียนให้ได้
ฉันรำพึงอยู่ในใจตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาว่า อาเซียนเป็นกลุ่มกองทัพที่อเมริกันใช้วิธีหนามยอกเอาหนามบ่ง โดยเตรียมคนจากกลุ่มประเทศอาเซียนเอาไว้สำหรับเดินทางกลับบ้านแล้วมาเป็นเครื่องมือการตลาดให้แก่ประเทศอภิมหาอำนาจซึ่งถูกส่งมายังประเทศในเอเชีย เพื่อใช้ให้ประเทศเหล่านี้เป็นทาสเศรษฐกิจ แล้วประเทศเล็กๆ เช่นเราจะไปไหนเสีย เวลานี้กองทัพอาเซียนซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือของประเทศใหญ่ๆ ได้แทรกเข้ามาสู่ระบบการจัดการศึกษาแล้ว พอฉันรู้ว่าประเทศไทยกำลังสร้างองค์กรใหม่ให้ตกเป็นทาสประเทศใหญ่ๆ ทีนี้หละเขากินคำเดียวหมดทั้งชาติเลย ไม่เชื่อรอดูกันต่อไป
เพราะตัวฉันเองโชคดี แม้ในอดีตจะทำงานราชการแต่ฉันก็ไม่เคยขอเงินราชการมาใช้ในการเดินทางระหว่างประเทศ และไม่เชื่อความคิดของราชการที่คอยจะหล่อหลอมพวกเราให้ตกเป็นทาสรับใช้ แต่ใช้ศรัทธาบารมีเป็นจุดกำเนิดมาตลอด ไม่เช่นนั้นคงสร้างผลงานเรื่องกล้วยไม้ไม่ได้แน่ เพราะกล้วยไม้แม้จะถูกภาครัฐมองว่าเป็นของฟุ่มเฟือยจึงไร้ความสำคัญ
แต่ฉันกลับไม่คิดแบบนั้น เพราะตัวฉันเองมองที่คนแทนที่จะมองไปที่กล้วยไม้ แล้วหลงโทษว่ากล้วยไม้มันทำลายเศรษฐกิจ แต่แท้จริงแล้วคนในชาติไทยในอดีตทำลายเศรษฐกิจของตัวเองได้ลงคอ ทีนี้ก็เริ่มจับงานกล้วยไม้กับเงินตรารวมทั้งเอากล้วยไม้มาถือเงินและแทรกซึมเข้ามาในด้านการจัดการศึกษา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือครอบเศรษฐกิจของประเทศเล็กๆ
ยิ่งคนไทยหลงเดินทางมาศึกษาในประเทศใหญ่ๆ ด้วยแล้วก็คงไม่แคล้วตกเป็นเครื่องมือเขา นี่แหละที่เรียกว่าคนหลงอยู่กับความสบายแล้ว ในที่สุดก็ตกเป็นทาสรับใช้ แต่ฉันก็มองว่ากล้วยไม้มันถือเงินไม่ได้ มนุษย์ซึ่งเป็นคนไทยนั่นแหละที่จ้องจะถือเงิน "ยิ่งจ้องจะถือเงิน เงินมันก็ครอบหัวเราเองจนกระทั่งตายไปในที่สุด" ฉันพูดมาแค่นี้แล้วเธอยังไม่รู้ทันอีกหรือว่าการสร้างระบบอาเซียนขึ้นมานั้น แท้จริงแล้วก็คือการสร้างลัทธิเอาอย่างคนอื่น แล้วตัวเราเองถ้าไม่ตายในที่สุด แล้วจะไปตายเมื่อไหร่
นี่แหละที่เขาพูดกันว่า "คนไทยฉลาดเหลือ หรืออาจจะพูดว่าเหลือฉลาดก็ได้" ขอโทษนะครับเดี๋ยวจะว่าผมไม่เตือน ผมเตือนแล้วคุณไม่เชื่อต่างหาก ใช่หรือเปล่าครับ ขออภัยครับที่ตัวผมเองคิดอย่างน่าประหลาด ถ้าคุณเองไม่ทำตัวให้น่าประหลาด ผมก็คงไม่คิดอย่างประหลาด.