ชาวนาไทยต้นทุนสูงรายได้ต่ำ หอฯชี้ยากจนสุดในอาเซียน
ชาวนาไทยต้นทุนสูงรายได้ต่ำ
หอฯชี้ยากจนสุดในอาเซียน
จี้รัฐเลิกจำนำ-ตั้งกองทุนอุ้ม
นายอัทธ์ พิศาลวานิช คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการ ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยบทวิเคราะห์ ‘ข้าวไทยในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน’ ว่า ปัจจุบันชาวนาไทยมีค่าใช้จ่ายในการผลิตสูงที่สุดในอาเซียน มีรายได้ในการทำนาสูงที่สุดเช่นกัน แต่กลับมีรายได้สุทธิต่ำที่สุดในอาเซียน เนื่องจากต้นทุนการผลิตที่สูงมาก โดยสาเหตุที่ทำให้ชาวนาไทยมีกำไรสุทธิน้อยกว่าประเทศอื่นคือ ประสิทธิภาพการผลิตข้าวที่ปัจจุบันยังต่ำกว่าคู่แข่งโดยเฉพาะเวียดนาม, ต้นทุนการผลิตที่สูงมาก และ นโยบายการแทรกแซงตลาดของรัฐบาล ดังนั้นต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่ให้ความสำคัญในการพัฒนาวงการข้าวภาพรวมของประเทศแบบยั่งยืน
“ทั้งๆที่ รัฐบาล ใช้โครงการรับจำนำข้าวตั้งราคาสุงกว่าราคาตลาด มาแล้ว 2 กว่าปี ราคาข้าวไทยสูงสุด แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว กลับพบว่า เงินที่เหลือ ของชาวนาไทยต่ำที่สุดในอาเซียน โดย การหักค่าใช้จ่ายต้นทุนนี้ ไม่ได้รวมค่าใช้จ่าย ในชีวิตประจำวัน ที่ปรับเพิ่มสูงขึ้น เช่น สบู่ ยาสีฟัน อาหาร แต่ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าชาวนาไทยจะจนที่สุดในอาเซียนเพราะมีต้นทุนสูงสุด เนื่องจากชาวนาไทยก็ยังมีรายได้มากที่สุด และที่ดินเฉลี่ยก็เยอะที่สุดด้วย”
ทั้งนี้นายอัทธ์ ยังต้องการเสนอต่อรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ หากต้องยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว ควรจะเปลี่ยนมาตรการช่วยเหลือชาวนามาเป็นการให้เงินอุดหนุนลดต้นทุนการผลิตลงให้ได้ 40% เพื่อช่วยเหลือชาวนาให้มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยตั้ง กองทุนอุดหนุนชาวนา วงเงินปีละ 196,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งเชื่อว่ามาตรการนี้สามารถทำได้ไม่ขัดต่อ องค์การการค้าโลก (WTO) โดยการช่วยเหลือ จะให้กับชาวนา ที่ครองที่ดิน ประมาณ 20 ไร่ ต่อครัวเรือน และใน 1 ปีทำนา 2 ครั้ง
อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลจะใช้นโยบายจำนำข้าวต่อไป จะต้องทบทวนวิธีการใหม่โดยจะต้องลดเพดานราคารับจำนำข้าวลงมา และไม่ใช้วิธีจำนำข้าวทุกเม็ดต้องมีการจำกัดเพดานวงเงิน และ จะต้องจำนำข้าว ตาม เกรดคุณภาพของข้าว ซึ่งข้าวคุณภาพต่ำต้องได้ราคาต่ำ
“การที่ข้าวไทย ได้กลายเป็นดาวร่วงในอาเซียน มาจากโครงการรับจำนำข้าวที่ทำมาแล้ว 2ปีกว่า รัฐบาลใช้วิธีตั้งราคาสูงกว่าตลาด ทำให้กระทบต่อโครงสร้างตลาดข้าวบิดเบือนไป โดยขณะนี้ในอาเซียนมีผู้ผลิตข้าวในอาเซียนรายใหม่เข้ามาช่วงชิงตลาดข้าวไทยมากขึ้น”