แนะ 7 กลุ่มธุรกิจไทยเร่งปิดจุดอ่อนก่อนบุกตลาด
การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558 กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย หรือ”SMEsไทย” ถือเป็นทัพธุรกิจสำคัญทางเศรษฐกิจของไทยที่จะต้องเข้าสู่สมรภูมิอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าจะพร้อมหรือไม่ก็ตาม
สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จึงได้เปิดตัวโครงการเตรียมพร้อมSMEsเข้าสู่AEC พร้อมจับมือมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันก่อสร้างแห่งประเทศไทยสถาบันพลาสติก เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนา7อุตสาหกรรมนาร่องไปยังตลาดอาเซียนในอนาคต
วิมลกานต์ โกสุมาศ รองผู้อำนวยการ สสว.กล่าวว่า โครงการ “AEC Ready” จัดขึ้นเพื่อเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการSMEsไทย เพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ด้วยการเสริมสร้างศักยภาพของSMEsไทยให้เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ การดำเนินงานจะมุ่งไปยังกลุ่มเป้าหมายใน7 อุตสาหกรรมที่มีโอกาส ได้แก่
1.ก่อสร้าง
2.บริการเพื่อสุขภาพ
3.สิ่งทอ
4.อาหาร
5.การพิมพ์
6.อัญมณีและเครื่องประดับและ
7.พลาสติกและบรรจุภัณฑ์
สำหรับปัจจัยสำคัญที่ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวเป็นอันดับต้นๆ เพื่อขยายตลาดนอกเหนือจากความรู้ด้านภาษาเพื่อใช้เจรจาการค้าระหว่างประเทศสมาชิกชาติอาเซียนด้วยกันแล้ว ต้องให้ความสำคัญในด้านการวิเคราะห์ตลาด โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันออกไปด้วย เพื่อให้ผลิตสินค้าได้เฉพาะเจาะจงตรงกับความต้องการของตลาดมากที่สุด
ปัจจุบันSMEsไทยมีความน่าเป็นห่วงด้วยมีจุดอ่อนหลายด้าน ซึ่งแตกต่างจากSMEsเกาหลีใต้ญี่ปุ่น หรือยุโรป ที่มีความพร้อม โดยเฉพาะจิตวิญญาณในการทำธุรกิจ รวมถึงด้านการบริหารจัดการทั้งเงินทุน คน สินค้า
โครงการ “AEC เรดดี้” จะมุ่งให้ความสำคัญไปยังกลุ่มผู้ประกอบการใน 7 กลุ่มอุตสาหกรรมหลักที่กล่าวไว้ข้างต้น ที่ต้องการทำตลาดส่งออก ซึ่งจะต้องแก้ไขจุดอ่อนต่างๆ ทั้งองค์ความรู้ การผลิต และทำตลาดเฉพาะ การสร้างตราผลิตภัณฑ์ (แบรนดิง) และการทำตลาดระหว่างผู้ซื้อผู้ขายที่มีศักยภาพ เป็นต้น
ช่อทิพย์ วิเศษพงษ์พันธุ์ รักษาการผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาสมรรถนะธุรกิจสสว.กล่าวว่า กลุ่มอุตสาหกรรมบริการเพื่อสุขภาพของไทยในปัจจุบันถือว่ามีจุดแข็งมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆในภูมิภาคอาเซียนส่วนหนึ่งจากนโยบายของภาครัฐที่พยายามผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านสุขภาพและการแพทย์แบบครบวงจร
ผู้ประกอบการไทยที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เช่น แพทย์ พยาบาล กลุ่มธุรกิจคลินิก สปา หรืออื่นๆที่เกี่ยวข้อง ทั้งตัวแทนการท่องเที่ยวโรงแรมต่างๆ จะต้องปรับตัวเพื่อรองรับตลาดตามไปด้วย ปัจจุบันอุตสาหกรรมกลุ่มนี้มีมูลค่าส่งออกไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท และยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่แต่ละกลุ่มต้องเร่งปิดจุดอ่อนของตัวเองในด้านต่างๆ เช่น กลุ่มสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ต้องรวมกลุ่มกันมากขึ้นตั้งแต่ต้นน้ำ กลุ่มอาหาร สิ่งทอต้องเร่งเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมตั้งแต่ขั้นพื้นฐาน ความรู้ใน 9 ประเทศสมาชิกอาเซียนกฎหมายแต่ละประเทศ ความพร้อมด้านภาษา และที่สำคัญพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละประเทศ เป็นต้น
กลุ่มพลาสติก ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหญ่ มีมูลค่าส่งออกรวมกว่า 5 แสนล้านบาท กว่า 600 โรงงานผู้ผลิต และผู้ประกอบการธุรกิจSMEsที่เกี่ยวข้องกว่า 3,500 ราย ซึ่งยังต้องปรับตัวอีกมาก โดยในส่วนของสถาบันพลาสติกได้เร่งดำเนินงานภายใต้โครงการดังกล่าว พร้อมเตรียมเร่งยกระดับขีดการแข่งขันผู้ประกอบการไทยที่จะเข้าไปลงทุนในต่างประเทศ
แนวโน้มดังกล่าวเป็นเสียงสะท้อนที่ส่งผ่านมาจากตัวแทนทั้ง 7 กลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญที่จะต้องเร่งแก้ไขจุดอ่อน เพื่อตั้งรับและเตรียมบุกทำตลาดให้ทันก่อนเปิดประตูเวทีอาเซียนในอีกเกือบ 2 ปีข้างหน้านับจากนี้
ที่มา : โพสต์ทูเดย์