ไม่การันตีปฎิวัติ ตู่กร้าว”วัวสันหลังหวะ”
“บิ๊กตู่” ไม่การันตี-ไม่ปฏิวัติ อ้างทุกอย่างมีเงื่อนไข ลั่นทุกฝ่ายต้องยอมรับศาล-องค์กรอิสระ เปรียบวัวสันหลังหวะย่อมมีแผลโดนอีกาจิกทุกวัน กร้าวรัฐบาลต้องรับผิดชอบหากเกิดจลาจลนองเลือด ขณะที่ “นายกฯ ปู” กัดฟันเชื่อใจทหารไม่ปฏิวัติ กำชับ จนท.อดทนเลี่ยงปะทะม็อบชัตดาวน์ กทม. ด้าน “ปลัด กลาโหม” ดักคอ ผบ.เหล่าทัพรักษาคำพูดไม่ปฏิวัติ วอนเลิกกวนน้ำให้ขุ่น ส่วน “บิ๊กทหารเสื้อแดง” ออกแถลงการณ์ต้าน กปปส.ปิดกรุงเทพฯ วอนเดินหน้าเลือกตั้ง 2 ก.พ. แนะใช้เวทีเจรจาหาทางออก จี้กองทัพปกป้องชาติตามระบอบ ปชต. เชื่อไม่ปฏิวัติ ขณะที่ “ธาริต” เดินหน้าเรียกแขก ยัน 8 ม.ค. ลุยขอหมายจับ 33 แกนนำ กปปส.แน่ พร้อมออกหมายเรียกแกนนำแถว 3 “ไทกร-สมศักดิ์-ถวิล เปลี่ยนศรี-สนธิญาณ-แกนนำนักธุรกิจสีลม” โดนถ้วนหน้า ด้าน “ปชป.” ฉะรัฐอำมหิต วางแผนสร้างเหตุรุนแรง เปิดทางใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หวังยืมมือทหารปราบม็อบ ส่วน “กปปส.” เดินหน้ารณรงค์ชัตดาวน์กรุงเทพฯ “สุเทพ” นำทัพลุยปลุกมวลชนฝั่งธนฯ แห่ให้กำลังใจล้นสองฝั่งถนน รับเงินบริจาคอีกหลายถุงใหญ่ ขณะที่ “เสื้อแดง” งัดแผนป่าล้อมเมือง ต้าน กปปส.ชัตดาวน์ กทม. 13 ม.ค.ลั่นวันเริ่มต้นต่อต้านรัฐประหาร
“สุเทพ” นำทัพ กปปส.รณรงค์ปิดกรุงฯ
หลังจากที่กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ประกาศปิดกรุงเทพฯ วันที่ 13 ม.ค. โดยยุบเวทีราชดำเนิน ไปเปิด 7 เวทีใหม่ 1.แจ้งวัฒนะ 2.ห้าแยกลาดพร้าว 3.อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 4.สี่แยกปทุมวัน 5.สวนลุมพินี 6.สี่แยกอโศก 7.เวทีแยกราชประสงค์นั้น วันที่ 7 ม.ค. ที่ถนนราชดำเนิน เวลา 09.00 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้นำมวลชนเคลื่อนขบวนออกจากถนนราชดำเนิน เพื่อเชิญชวนมวลชนปิดกรุงเทพฯ วันที่ 13 ม.ค. โดยกำหนดการเส้นทางการเคลื่อนขบวนนั้น จะผ่านท้องสนามหลวง ข้ามสะพานพระปิ่นเกล้า ผ่านสี่แยกอรุณอัมริมทร์ ห้างสรรพสินค้าพาต้า เลี้ยวขวาจรัลสนิทวงศ์ จนถึงแยกศิรินธรเข้าถนนศิรินธรข้ามสะพานซังฮี้ ถนนสามเสนผ่านมหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา โรงเรียนเซนคาเบรียล เลี้ยวขวาเข้าบางลำภู เลี้ยวซ้ายเข้าถนนพระสุเมรุ ถนนดินสอ และกลับถึงเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ต่อมาเวลา 16.40 น. นายสุเทพ พร้อมด้วยมวลชน ได้เดินทางมาถึงเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนินรวมระยะทาง กว่า 9 กิโลเมตร โดยใช้เวลา 7 ชั่วโมง 40 นาที ซึ่งตลอดสองข้างทางประชาชนได้ต่างนำเงินมาบริจาคให้นายสุเทพเป็นจำนวนมากเพื่อให้นำไปใช้จ่ายในกิจกรรมของ กปปส. ขณะที่บรรยากาศบริเวณเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มวลชนได้ทยอยเข้าร่วมชุมนุมอย่างคับคั่ง ส่วนกิจกรรมบนเวทีแกนนำย่อยได้กล่าวขึ้นปราศรัยต้อนรับมวลชนที่พึ่งเดินทางมาถึง พร้อมแจกจ่ายอาหาร-น้ำดื่ม
จวกรัฐหวังยืมมือทหารปราบ ปชช.
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่พยายามรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง แต่พยายามใส่ร้ายกลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.อย่างเป็นระบบ ซึ่งสามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อให้การชุมนุมของกลุ่ม กปปส.ในวันที่ 13 ม.ค. เกิดความรุนแรง เป็นเงื่อนไขนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงหรือไม่ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลและ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กระหายในการที่จะใช้กฎหมายพิเศษกับผู้ชุมนุม โดยมีข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงกับหลังน้ำตาเมื่อ ผบ.ทบ.ปฏิเสธไม่เห็นด้วยกับการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รัฐบาลจึงพยายามคิดยุทธศาสตร์ให้เจ้าหน้าที่ใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แม้แต่กฎอัยการศึก ซึ่งถือว่าเป็นความอำมหิตของรัฐบาล ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนทันเกม ไม่หลงกลเกมของรัฐบาล ที่พยายามสร้างภาพว่าการชุมนุมครั้งนี้เป็นความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน เพราะมีการสร้างภาพว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ข้างเดียวกับรัฐบาล ดังนั้นขอให้จับตาการชุมนุมวันที่ 13 ม.ค.นี้ว่าจะเกิดความรุนแรงเพื่อให้ทหารออกมาปราบปรามหรือไม่
“ธาริต” ลุยออกหมายเรียกแกนนำ
นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการขอศาลออกหมายจับแกนนำ กปปส.จำนวน 33 รายที่ไม่มารับทราบข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับการชุมนุมตามที่ดีเอสไอออกหมายเรียก และมีพฤติกรรมเข้าร่วมเคลื่อนไหวในการชุมนุมอย่างต่อเนื่องว่า ในวันพรุ่งนี้ (8 ม.ค.) พนักงานสอบสวนจะเดินทางไปขอศาลออกหมายจับแกนนำทั้ง 33 รายอย่างแน่นอน หลังที่ประชุมคณะพนักงานสอบสวนมีมติไม่ออกหมายเรียกซ้ำเนื่องจากการขอเลื่อนไม่มีเหตุผลอันสมควร โดยขณะนี้ดีเอสไออยู่ระหว่างการพิจารณารายชื่อแกนนำแถว 3 ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมก่อนประกาศรายชื่อทั้งหมดในวันพรุ่งนี้พร้อมออกหมายเรียกให้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาเป็นกลุ่มถัดไป ส่วนแกนนำ 9 รายที่เป็นกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยดีเอสไอจะยื่นศาลขอให้เลื่อนจากไต่สวนการขอถอนประกันให้เร็วขึ้นในวันศุกร์ที่ 10 ม.ค.นี้ มาตรการออกหมายจับถือเป็นมาตรการที่หนักทางกฎหมายบางคนอาจจะมองว่าไม่มีผลกระทบทำให้ไม่เกรงกลัวยังมีความคิดที่จะเข้าร่วมชุมนุมในการกระทำผิดกฎหมาย กรณีนี้นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม พูดชัดเจนแล้วว่าผู้ร่วมชุมนุมจะมีความผิดตามกฎหมาย อยากฝากให้ผู้ที่เข้าร่วมชุมนุมหยุดคิดว่าปัจจุบันเป็นโลกของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทั่วกรุงเทพฯ แทบทุกตารางนิ้วมีการเก็บภาพผ่านกล้องซีซีทีวีทั้งกล้องของ กทม. บก.02 และ บช.น. ไม่นับรวมภาพข่าวผ่านสื่อทีวีอีกจำนวนมาก ซึ่งจะเก็บภาพทั้งหมดตลอด 24 ชั่วโมง ไม่ว่าใครไปทำอะไรที่ไหนต้องทิ้งร่องรอยการกระทำความผิด คนที่ไปทำอะไรวันนี้แล้วอาจรู้สึกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแต่แนะนำว่าไม่ควรเสี่ยงกระทำความผิด ควรไตร่ตรองให้ดี การเข้าไปร่วมชุมนุมไม่มีผลดีมีแต่ผลเสีย คดีมีอายุ 20 ปี
อดีตเลขา สมช.-กลุ่มนักธุรกิจสีลมติดโผ
รายงานข่าวแจ้งว่า พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ระหว่างรวบรวมหลักฐานเพื่อออกหมายเรียกแกนนำ กปปส.แถว 3 ที่มีบทบาทในการปราศรัยและเคลื่อนไหวนำมวลชนไปปิดล้อมสถานที่ต่างๆ อาทิ นายไทกร พลสุวรรณ นายสมเกียรติ หอมลออ นายสมศักดิ์ โกศัยสุข นายสาธิต แก้วหวาน นายถวิล เปลี่ยนศรี นายสนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม นายสาธิต เซกัล และนายพิเชษฐ์ พัฒนโชติ เป็นต้น สำหรับแกนนำ กปปส. จำนวน 33 ราย ที่ดีเอสไอเตรียมขอศาลออกหมายจับ คือ นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย, นายชุมพล จุลใส, นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์, นายอิสระ สมชัย, นายวิทยา แก้วภราดัย, นายถาวร เสนเนียม, นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ, นายเอกนัฏ พร้อมพันธ์, น.ส.อัญชลี ไพรีรัก ข้อหากระทำผิดมาตรา 113, 116, 215, 216 ประกอบมาตรา 83 ร.ต.แซมดิน เลิศบุศย์, พล.อ.ปรีชา เอี่ยมสุพรรณ ข้อหากระทำผิดมาตรา 113, 116, 215, 216, 234 ประกอบมาตรา 83, นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์, นายยศศักดิ์ โกไศยกานนท์, พ.ต.ท.ศุภวัฒน์ สุปิยะพาณิชย์, นายสมบูรณ์ ทองบุราญ ข้อหากระทำผิดมาตรา 215, 234 ประกอบมาตรา 83 น.ส.จิตต์ภัสร์ กฤดากร, นายสาธิต ปิตุเตชะ, นายสกลธี ภัททิยกุล, นายทศพล เพ็งส้ม, นายสมบัติ ธํารงธัญวงศ์, นายแก้วสรร อติโพธิ, นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง, นายเสรี วงษ์มณฑา, นายกิตติศักดิ์ ปรกติ, นายถนอม อ่อนเกตุพล, นายชาญวิทย์ วิภูศิริ, นายไพบูลย์ นิติตะวัน, พล.อ.ปฐมพงษ์ เกสรสุข, นายสุริยะใส กตะศิลา ข้อหากระทำผิดมาตรา 116, 215 ประกอบมาตรา 83 และนายพิภพ ธงไชย, นายบุญยอด สุขถิ่นไทย, นายองอาจ คล้ามไพบูลย์, นายพิจารณ์ สุขภารังสี ข้อหากระทำผิดมาตรา 116,215 ประกอบมาตรา 83
ผบ.ตร.ยันพร้อมรับมือชัตดาวน์ กทม.
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า การเตรียมความพร้อมรับสถานการณ์การชุมนุมใหญ่ของกลุ่ม กปปส. เพื่อชัตดาวน์กรุงเทพฯ ในวันจันทร์ที่ 13 ม.ค. เป็นห่วงในเรื่องการเผชิญหน้าระหว่างมวลชน กลุ่ม กปปส. และกลุ่มที่ไม่เห็นด้วยหรือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจจะนำมาสู่เหตุกระทบกระทั่งและความรุนแรงเกิดขึ้นได้ โดยที่ประชุม ศอ.รส. ได้กำชับเจ้าหน้าที่ให้เน้นหลักกฎหมายและขั้นตอนการปฏิบัติต่างๆ โดยใช้ความอดทนอดกลั้นให้ถึงที่สุด ส่วนกำลังพลจากเจ้าหน้าที่ทหารจะเข้ามาช่วยเสริมการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในส่วนใดบ้างนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผน ซึ่งกำลังพลที่ใช้ปฏิบัติหน้าที่ในวันที่ 13 มกราคม จะเป็นกำลังผสมระหว่างตำรวจและทหาร ส่วนที่แกนนำ กปปส. ประกาศ จะมีการเข้าไปบุกรุกบ้านพักของบุคคลสำคัญ เช่น บ้านพักนายกรัฐมนตรี หรือบ้านพักรัฐมนตรีอื่นๆ นั้น มีแผนรองรับสถานการณ์ไว้แล้ว โดยเจ้าหน้าที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยอย่างเต็มที่ให้ดีที่สุด นอกจากนี้ยังรวมถึงการดูแลความปลอดภัยของบุคคลสำคัญด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม จากรายงานการเดินรณรงค์ของกลุ่ม กปปส. ในย่านฝั่งธนบุรีในช่วงเช้าที่ผ่านมาเป็นไปด้วยความเรียบร้อย และจากการหารือกับตำรวจในกลุ่มประเทศอาเซียน มิตรประเทศยอมรับว่าตำรวจไทยได้ทำตามกฎหมาย และขั้นตอนได้เป็นอย่างดี
“ปู” ยิ้มประชุม ครม.ที่สโมสร ทบ.
เมื่อเวลา 09.00 น. ที่สโมสรทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้เดินทางมาเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงได้แต่ยิ้มทักทายสื่อมวลชนที่มารอทำข่าว แต่ไม่ได้ให้สัมภาษณ์แต่อย่างใด ทั้งนี้นายกฯ แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมสีน้ำเงิน และมีสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส สำหรับวาระการประชุมครม.นั้นส่วนใหญ่เป็นวาระเพื่อทราบ และมีการหารือเตรียมความพร้อมและติดตามสถานการณ์การชุมนุมปิดกรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ม.ค. ของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ส่วนการรักษาความปลอดภัยภายในสโมสรกองทัพบกเป็นไปอย่างเข้มงวดโดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนจำนวน 3 กองร้อย หรือประมาณ 450 นาย ยืนรักษาความปลอดภัยประจำโดยรอบสโมสรทหารบก ซึ่งภายในพบรถเครื่องขยายเสียงที่เตรียมใช้เพื่อเจรจาหากมีกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมาชุมนุม แต่ทั้งนี้ไม่พบว่ามีมวลชนกลุ่มใดเดินทางมายังสโมสรทหารบกแต่อย่างใด
กำชับ จนท.อดทนคุมม็อบชัตดาวน์ กทม.
ภายหลังการประชุมครม. นางสาวยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า การที่กลุ่ม กปปส. ประกาศปิดกรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ม.ค.นั้น ตนเองได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงดูแลความสงบเรียบร้อยของประชาชน โดยเน้นการป้องกันเพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ทั้งนี้ขอร้องทุกฝ่ายให้ดูแลป้องกันให้เกิดความสงบด้วยความอดทน อดกลั้น เพื่อให้บ้านเมืองสามารถผ่านพ้นไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะวันที่ 13 ม.ค. และไม่ต้องการให้นำไปสู่ความรุนแรงถึงขั้นปะทะกัน รวมถึงขอความร่วมมือประชาชนในการหลีกเลี่ยงเส้นทางที่อาจเกิดการปะทะกัน ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจจะดูแลสถานการณ์อย่างเต็มที่ ซึ่งทางศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือศอ.รส. จะมีการชี้แจงตามลำดับขั้นตอนของการดำเนินการต่อไป ส่วนจะมีการขอกำลังทหารมาสนับสนุน หรือไม่นั้น ต้องรอให้ทางศอ.รส. ทำเรื่องเสนอขึ้นมา แต่การดูแลความสงบขณะนี้ต้องดูเรื่องของการวางกำลังในจุดต่างๆ ซึ่งเบื้องต้นมีการบูรณาการระหว่าง 3 เหล่าทัพกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ สตช. ในการดูแลความสงบร่วมกัน สำหรับการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. ที่หลายฝ่ายเกรงจะเหมือนกับที่บังคลาเทศนั้น ต้องขอร้องทุกภาคส่วน และไม่อยากให้มีการพกอาวุธที่อาจจะทำให้เกิดความรุนแรงขึ้น และต้องช่วยกันด้วยความอดทนอดกลั้น เพื่อให้ผ่านพ้นได้ด้วยดี เพราะการนำมาซึ่งความรุนแรงจะทำให้เกิดผลกระทบต่างๆ มากมาย ซึ่งตนก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น ขณะเดียวกันต้องขอร้องประชาชนอย่ากังวลมากจนเกินไป และอย่าหลงเชื่อข่าวลือ เพราะอาจจะทำให้มีการกระทบกระทั้ง อยากให้ถนอมความรู้สึกเพื่อนำไปสู่ทางออกของประเทศ ขณะที่สภาปฏิรูปประเทศทุกภาคส่วนจะต้องเร่งรัดเพื่อหาทางออก สำหรับการหาเสียงเลือกตั้งทางพรรคเพื่อไทยก็ต้องทำงานไป แต่ตนเองในฐานะผู้สมัครยังมีภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรี ที่จะต้องดูแลเรื่องความไม่สงบในบ้านเมือง จึงต้องทำในเรื่องนี้ก่อน ส่วนการจัดงานวันเด็กที่ทำเนียบรัฐบาลนั้น ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื้อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หารือกับผู้ชุมนุมในการขอเปิดพื้นที่จัดกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติภายในทำเนียบรัฐบาลเพื่อให้เด็กๆ ได้
เชื่อทหารไม่ปฏิวัติ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า ส่วนกระแสข่าวว่ารัฐบาลพูดคุยกับกองทัพขอให้ปฏิวัติและวางระบบประเทศภายใน 1 ปีนั้น ขอปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง เป็นเพียงข่าวลือ เพราะการปฏิวัติรัฐประหารไม่ทำให้เกิดผลดี ที่ผ่านมาก็ไม่ได้แก้ไขปัญหา หลายประเทศเกิดความรุนแรง การพูดคุยด้วยสันติภาพเป็นสิ่งที่ดีกว่า จึงอยากให้ประชาชนรับฟังข่าวอย่างระมัดระวัง อย่าหลงเชื่อข่าวลือ ทั้งนี้ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เชื่อว่าผู้บัญชาการเหล่าทัพจะคำนึงถึงการแก้ไขปัญหาในระยะยาวมากกว่าการใช้มาตรการที่หลายประเทศไม่ยอมรับ ขณะเดียวกันเชื่อว่าทุกคนจะทำตามหน้าที่ของตนเอง ขอให้น้อมนำกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธ.ค. 2556 และ 31 ธ.ค. 2556 มาปฏิบัติในการแก้ไขปัญหา เพราะทุกคนรู้จักหน้าที่ และอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ ขอร้องให้ทุกฝ่ายหันหน้าเข้าหากัน และถึงเวลาแล้วที่เราจะพูดว่า หยุดการทะเลาะกัน หยุดเรื่องของความรุนแรง ซึ่งรัฐบาลพร้อมที่จะให้ความร่วมมือ เพื่อให้เกิดความสงบสุข
“ปลัด กห.” เชื่อมั่น ผบ.เหล่าทัพไม่ปฏิวัติ
พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า โอกาสจะเกิดการปฏิวัติรัฐประหารนั้น ขอให้มั่นใจและเชื่อมั่นในผบ.เหล่าทัพ ทั้งคำพูดของผู้ใหญ่ในกองทัพเอง และที่ให้โฆษกกองทัพออกมาพูด แต่คงเพราะมีการจินตนาการกันไปต่างๆนานา และเป็นการใส่ร้าย และกวนน้ำให้ขุ่น ซึ่งเป็นอันตรายมาก ตนเองเชื่อมั่นใจตัวผู้นำกองทัพ ทั้ง ผบ.สส. และ ผบ.เหล่าทัพมีการหารือกันตลอด ท่านมีความหนักแน่น มีจิตใจเปิดกว้าง ส่วนความคืบหน้าของสภาปฏิรูปนั้น อยากให้นักวิชาการได้เสนอพิมพ์เขียวสภาปฏิรูปออกมา เพื่อเป็นแสงสว่างในความมืด เพราะแนวทางของรัฐบาลถูกมองว่าไม่เป็นกลาง ขอให้ทุกฝ่ายเปิดแผนออกมา หลายพิมพ์เขียว เพราะอาจเฉียบคมกว่า ทั้งนี้ อยากให้คนไทยร่วมกันทำโลกหันมามองเมืองไทยว่า เราจับมือให้อภัยกันได้เอง ปีใหม่จุดเปลี่ยนพาคนไทยออกจากความหมองหม่น ให้อภัยกัน เป็นปาฏิหาริย์ ให้คนไทยกว่า 60 ล้านคน ส่วนการประเมินสถานการณ์นั้น ในการประชุม กอ.รมน. เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะ ผอ.รมน. ได้ย้ำกฎเหล็กในการไม่ใช้ความรุนแรงใดๆ ในการปฏิบัติการในอนาคต โดยที่ผ่านมาทั้งทหารและตำรวจ ทั้งในระดับบน ระดับปฏิบัติ และระดับล่าง มีความเข้าใจและร่วมมือกันดี โดยตำรวจจะยังทำหน้าที่ภายใต้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ส่วนทหาร ยังเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน
“บิ๊กตู่” ไม่ยืนยันไม่ปฏิวัติ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวว่า กระแสข่าวที่ทหารเคลื่อนย้ายกำลังในช่วงนี้เพื่อทำการปฏิวัตินั้น ข่าวลือก็เป็นข่าวที่ไม่จริง ดังนั้นไม่ต้องเชื่อ เพราะเรามีการเคลื่อนย้ายกำลังพลทุกปี และนโยบายในปี 2557 ของกองทัพบกเป็นการนำพากองทัพไปสู่ความทันสมัยในอนาคต ในปีนี้เป็นวาระพิเศษที่เรากำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว ส่วนที่มีคนระแวงว่า ทหารจะใช้การปฏิวัติเป็นทางออกสุดท้ายนั้น คนไปกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เมื่อมองไม่เห็นก็อย่าไปกลัว คิดว่า ทุกอย่างมีสาเหตุหมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม อย่าพูดถึงเรื่องนั้นเรื่องเดียว ทุกเรื่องต้องมีสาเหตุ ต้องมีเงื่อนไข ดังนั้นต้องไปหาให้เจอว่า อยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีเหตุอะไรก็ไม่มีเรื่อง เหมือนเรื่องอีกากับวัว ถ้าวัวมีแผล อีกาก็จะมาจิกหลังทุกวัน ถ้าไม่มีแผลก็ไม่มีอีกา ประเทศชาติอยู่ด้วยกระบวนการ ศาลยุติธรรม องค์กรอิสระ ถ้าเราอยู่ด้วยการแก้ปัญหาที่ผิดวิธีจะสร้างปัญหาไปเรื่อยๆ ทั้งนี้ ข่าวการปฏิวัติทำให้ตลาดหุ้นตกนั้นไม่เกี่ยวกับทหาร อยู่ที่พวกคุณกันเองอย่ามาโทษทหาร สื่อเป็นคนสร้าง วาดเรื่องขึ้นมาเอง แล้วให้ผมมายืนยันกองทัพจะไม่ทำรัฐประหาร ผมไม่ตอบ ผมไม่ยืนยัน ส่วนที่พรรคเพื่อไทยระบุว่า ทาง กปปส.มีแผนลับ 10 ประการเพื่อให้ทหารปฏิวัตินั้น ต้องตรวจดูว่าจริงหรือไม่ ใช่หรือไม่ วันนี้ใครจะเขียนแผนอะไรก็ได้ ซึ่งตนอ่านแล้วตนก็ขำ วันนี้โลกไม่ได้มีแค่มืดกับสว่าง เพราะถ้าตรงไหนมืดก็เปิดไฟ ถ้าตรงไหนสว่างเกินไปก็ปิดไฟ ถ้าทุกคนมาช่วยกันสุมไฟให้สว่างมันจะร้อนเกินไป ต้องเอาธรรมะเข้าข่ม ต้องมีสติ รู้คิด รู้ทำ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับสั่งไว้แล้ว
ฮึ่มรัฐบาลรับผิดชอบถ้าเกิดจลาจล
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการที่กลุ่ม กปปส.จะปิดกรุงเทพฯ จะส่งผลให้เกิดการปะทะกันหรือไม่นั้น การปะทะเกิดมาแล้วหลายครั้ง ลองย้อนกลับไปดูปี 53 ว่าเกิดอะไรขึ้น ในปี 53 มีสองฝ่ายคือรัฐบาลกับกลุ่มต่อต้าน ส่วนปีนี้มีรัฐบาลกับกลุ่มต่อต้านคือ กปปส. และยังมีอีกกลุ่มที่เตรียมออกมาอีก สรุปคือ มี 3 กลุ่ม ซึ่งต่างจากปี 53 ตนขออย่างเดียวอย่าให้เกิดความรุนแรง ซึ่งทหารต้องดูแลประชาชนทุกพวกทุกฝ่ายไม่ให้บาดเจ็บล้มตาย ไม่ได้ดูแลฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ตนต้องดูแลคนทั้งประเทศ ส่วนการปิดกรุงเทพฯ ของ กปปส.ต้องคอยดูว่าจะเกิดอะไร ซึ่งตนก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไร เพราะไม่ใช่ กปปส. หวังเพียงอย่างเดียวว่า จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น ทั้งสองฝ่ายมีทางออกร่วมกัน หรือใครจะหวังให้ฆ่ากันตายหมด ใครก็ตามที่ทำให้เกิดความรุนแรงคนนั้นจะต้องรับผิดชอบจำไว้ ไม่ว่าพวกไหนก็แล้วแต่ ถ้าออกมาเมื่อไร ประชาชนตีกัน มีการบาดเจ็บล้มตาย จลาจล รัฐบาลต้องรับผิดชอบในหลักการ เมื่อถามว่า หากนายกฯ ลาออกจะจบหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ต้องไปถามนายกฯ เอง ส่วนการประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คิดว่ารัฐบาลและนายกรัฐมนตรีเข้าใจ ซึ่งตนชี้แจงถึงเหตุผล และความจำเป็นในการตั้งศอ.รส. ขอย้อนกลับไปเมื่อปี 53 ก่อนประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคง มีเหตุการณ์ใช้ความรุนแรง 6 ครั้ง มีการใช้อาวุธสงครามยิง โดยไม่รู้ว่าใครทำ จึงมีการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง จากนั้นมีการพัฒนาสถานการณ์ตามลำดับ โดยมีเหตุการณ์ใช้อาวุธสงคราม 24-26 ครั้งจึงมีการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และจากนั้นยังมีเหตุการณ์ความรุนแรงอีก 60 กว่าครั้ง ตนไม่สนับสนุนให้ใช้ความรุนแรง เจ้าหน้าที่และประชาชนไม่ควรใช้ความรุนแรง ไม่ว่าตนพูดอะไรก็เสียหายหมดทุกพวกทุกฝ่าย แต่จำเป็นต้องชี้แจง เพราะทหารทุกคนฟังคำสั่งตนอยู่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นทหารต้องดูแลประชาชนทุกฝ่าย ทุกพวก ทุกสี ถ้าไม่เลิกสี ตนก็ต้องดูทุกสี ถ้ามี 10 สี ตนก็ดูคน 10 สี ขอให้ประชาชนเข้าใจ ใครก็ตามที่มีปัญหากัน ต้องไปหาทางกันให้เจอ อย่าเอาตนมาตัดสิน วันนี้เหมือนทำข้อสอบอยู่ ต่างคนต่างงงว่า ข้อสอบถามว่าอย่างไร ส่วนคนตอบก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร สรุปไม่เข้าใจทั้งคนออกข้อสอบ หรือนักเรียน จึงจะหากรรมการกลางมาตัดสิน ตนว่ามันไม่ใช่
ทหารแก่ตบเท้าค้าน กปปส.ปิด กทม.
วันเดียวกัน ที่โรงแรมเอเทรียม ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ บรรดาศิษย์เก่าเตรียมทหารรุ่น 7-13 กว่า 30 คน นำโดย พล.อ.พรชัย กรานเลิศ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี พล.อ.สมชัย สมประสงค์ ทำการแถลงข่าวคัดค้านการปิดกรุงเทพฯ ของ กปปส. โดยพล.ต.ต.มณเฑียร ประทีประณิชย์ เป็นตัวแทนอ่านแถลงการณ์ว่า 1.ขอคัดค้านการปิดกรุงเทพฯ ในวันที่ 13 ม.ค. เพราะจะนำความเดือดร้อนมาสู่ประชาชนชาว กทม.และมีผลเสียต่อธุรกิจการค้า เศรษฐกิจของชาติโดยรวม 2.ขอเรียกร้องให้มีการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยตามที่ได้มีพระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. 3.ขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของข้าราชการตำรวจที่เสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ ตลอดจนผู้ชุมนุมที่ต้องเสียชีวิตและบาดเจ็บ สืบเนื่องจากการปะทะกันที่ผ่านมา และขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำ รวจที่ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความยากลำบาก ไม่ได้รับความเป็นธรรม 4.ขอให้ทหารช่วยปกป้องรักษาความมั่นคงของประเทศ รักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตย โดยทหารต้องดำเนินการตามมาตรา 8 แห่ง พ.ร.บ.จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม 2551 โดยต้องพิทักษ์รักษาเอกราช และความมั่นคงจากภัยคุกคามทั้งภายในและภายนอกราชอาณาจักร ปรามปรามการกบฏและจลาจล พิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ ปกป้องพิทักษ์รักษาผลประโยชน์แห่งชาติและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคงตลอดจนสนับสนุนภารกิจอื่นของรัฐในการพัฒนาประเทศ การป้องกันและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ และการช่วยเหลือประชาชน และการปฏิบัติการตามที่มีกฎหมายกำหนดหรือตามมติคณะรัฐมนตรี 5.ขอวิงวอนกลุ่มผู้ชุมนุมคัดค้านการเลือกตั้ง ตลอดจนผู้มีความคิดเห็นแตกต่าง จงใช้เวทีเจรจาแก้ไขปัญหาหาทางออก ระงับการใช้ความรุนแรงต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของราชการ
เสื้อแดงถกแกนนำทั่วประเทศ
วันเดียวกัน ที่อาคารลิปตพัลลภฮอลล์ ภายในสนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อ.เมือง จ.นครราชสีมา บรรยากาศการประชุมใหญ่แกนนำ นปช.ทั่วประเทศ กว่า 5,000 คน เป็นไปด้วยความคึกคัก ในเวลา 13.00 น. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. ได้ขึ้นเวทีกล่าวปราศรัยโจมตีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ที่พยายามปลุกปั่นให้กลุ่มมวลชน กปปส.ปิดกรุงเทพมหานคร ในวันที่ 13 มกราคมนี้ว่า การที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ท้าให้ตนไปเดินกรุงเทพมหานคร เพื่อวัดกระแสความนิยมว่าใครจะได้เงินหรือก้อนหินมากกว่ากันนั้น ขณะนี้ตนไม่ได้ต้องการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเผชิญหน้า และไม่มีพฤติกรรมไปเดินขอเงินเหมือนใครบางคน แต่มั่นใจว่าการที่นายสุเทพฯ กำลังระดมคนไปปิดกรุงเทพฯ จะทำให้คนกรุงเทพฯ ได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก หากตนไปเดินตอนนี้ก็คงจะได้ก้อนหินจริงๆ แต่เป็นก้อนหินที่คนกรุงเทพฯ ฝากมาให้เอาไปปาหัวคนที่เขาเกลียดมากกว่า และตนขอท้านายสุเทพฯ ให้มาเดินภาคเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือบ้าง ดูว่าใครจะมีพื้นที่เดินได้มากกว่ากัน
“เต้น” จี้บิ๊กตู่รักษาคำพูดไม่ปฏิวัติ
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ส่วนการที่นายสุเทพฯ ประกาศเคลื่อนไหวปิดกรุงเทพฯ ในวันที่ 13 มกราคมนี้นั้น ตนก็จะประกาศเช่นกันว่าให้ประชาชนทั่วประเทศ ที่รักชาติ รักประชาธิปไตย ไม่ต้องการเห็นประเทศเสียหายย่อยยับ ลุกขึ้นมาเดินขบวนต่อต้านการกระทำดังกล่าว ซึ่งเป็นการกระทำของกบฏ คือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ โดยขอให้ใช้เส้นทางหลักของแต่ละจังหวัด เดินขบวนต่อต้านตั้งแต่เวลา 09.00 น. พร้อมกัน ซึ่งการเคลื่อนไหวนี้ขอยกเว้นจังหวัดในภาคใต้ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะไม่ต้องการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเผชิญหน้ากัน แต่ขอเคลื่อนไหวคนละส่วน ให้รู้ว่าคนต่อต้านนายสุเทพฯ มีมากเพียงใด พร้อมกันนี้ก็ขอฝากไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ออกมายืนยันว่าการเคลื่อนขบวนอาวุธยุทโธปกรณ์ รถถัง รถหุ้มเกราะ และกำลังพลทหารจำนวนมากเข้ากรุงเทพฯ เป็นเพียงนำไปจัดงานวันเด็ก โดยไม่เกี่ยวข้องกับการทำปฏิวัติรัฐประหารนั้น ขอให้ท่านรักษาคำพูดนี้ไว้ด้วย เพราะคนไทยส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วยกับการทำปฏิวัติรัฐประหารแน่นอน และไม่ต้องการเห็นกองทัพออกมาสนองต่อความต้องการของนายสุเทพฯ ซึ่งเป็นกบฏด้วย
ใช้แผนป่าล้อมเมืองต้าน กปปส.
ด้านนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. กล่าวว่า นปช.ทั่วประเทศมาประชุมใหญ่ในวันนี้ มีอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.หยุดรัฐประหาร เพื่อไม่ให้มีวงจรอุบาทว์เกิดขึ้นในเมืองไทยอีก 2.ต่อต้านกบฏ เพื่อไม่ให้ประเทศไทยกลายเป็นอนาธิปไตย และ 3.กำหนดแนวทางเคลื่อนไหวต่อต้านปิดกรุงเทพฯ ของกลุ่ม กปปส. เนื่องจากหากปล่อยให้มีรัฐประหาร และมีกบฏมาทำให้ประเทศเป็นอนาธิปไตย ประเทศไทยก็จะไม่มีความหวังที่จะเจริญก้าวหน้าได้ ซึ่งขณะนี้นายสุเทพ กำลังอ้างว่าการเคลื่อนไหวของ กปปส.ต้องการโค่นล้มระบอบทักษิณ แต่แท้ที่จริงกำลังทำการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตย เพราะสนับสนุนการทำรัฐประหาร สนับสนุนอำนาจนอกระบบ ปฏิเสธการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ยอมคืนอำนาจให้กับประชาชน ซึ่งเข้าข่ายเป็นกบฏของชาติ ดังนั้นกลุ่ม นปช.จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนที่รักในประชาธิปไตย อยากเห็นประเทศชาติเดินหน้าไปได้ ให้ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านการเคลื่อนไหวของ กปปส.ด้วยกันทั่วประเทศ นางธิดา กล่าวอีกว่า การประชุมหารือแกนนำ นปช.ทั่วประเทศวันนี้ ได้ข้อสรุปว่าจะใช้แผนป่าล้อมเมืองในวันที่ 13 ม.ค.นี้ เวลา 09.00 น. จะให้แกนนำแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ยกเว้นจังหวัดภาคใต้ กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล พามวลชนคนเสื้อแดงและประชาชนทั่วไปในพื้นที่เดินขบวนรณรงค์หยุดรัฐประหาร และต่อต้านกลุ่ม กปปส.เคลื่อนไหวปิดกรุงเทพมหานคร โดยให้เลือกใช้เส้นทางหลักของแต่ละจังหวัดเดินขบวน เชิญชวนประชาชนที่เห็นด้วยออกมาแสดงพลังต่อต้านด้วย พร้อมกันนี้ก็จะมีการนำดอกไม้ไปมอบให้กับข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไปโดยไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะมีกลุ่ม กปปส.มากดดันให้หยุดงาน ส่วนสาเหตุที่ไม่ไปเคลื่อนไหวในจังหวัดภาคใต้ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะไม่ต้องการสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเผชิญหน้ากัน เพื่อป้องกันการสูญเสียชีวิตของพี่น้องประชาชนคนไทยด้วยกัน
อัดรัฐดิ้นเฮือกสุดท้ายป้ายสีม็อบ
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การชัตดาวน์กรุงเทพฯของ กปปส. กำลังมีกระบวนการดิ้นเฮือกสุดท้ายของรัฐบาลพยายามดีสเครดิตการเคลื่อนไหวของประชาชน ด้วยการสร้างความหวาดวิตก ทั้งการพยายามใส่ร้ายกลุ่ม คปท.ที่ชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลว่าไม่ยินยอมที่จะให้มีการจัดงานวันเด็กที่ทำเนียบรัฐบาล ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงที่ คปท.ยินยอมให้มีการตัดงานที่ทำเนียบ และ คปท.ก็จัดงานบริเวณที่ชุมนุมด้วย ดังนั้นการดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการดิสเครดิตกลุ่มผู้ชุมนุม และยังโยงว่าการเคลื่อนไหววันที่ 13 ม.ค.57 เป็นต้นไปที่จะมีการกระจายเวที 7 จุดทั่วกทม. เป็นการสร้างเงื่อนไขนำไปสู่การรัฐประหาร ซึ่งเป็นความพยายามของรัฐบาลที่จะจุดประเด็นรัฐประหารมาโดยตลอด ที่สำคัญคือการแถลงข่าวของ รมว.ยุติธรรมที่จงใจทำความความน่าเชื่อถือของผู้ชุมนุม และเตือนว่าการเข้าร่วมชัตดาวน์กทม.เข้าข่ายสนับสนุนกบฏซึ่งเป็นข้อหาที่มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต รวมทั้งขู่ว่าอาจเกิดเหตุปะทะกันจนเกิดอันตรายต่อชีวิต ขึงขอให้ประชาชนงดร่วมการชุมนุมดังกล่าว
จวกดีเอสไอปฏิบัติหน้าที่มิชอบ
นายองอาจ กล่าวว่า ที่ ดีเอสไอ จะออกหมายจับตนและคนอื่นรวม 37 รายในข้อหากบฏ โดยอ้างว่าได้ออกหมายเรียกแต่ไม่มีใครไปพบโดยไม่มีเหตุอันควรนั้น ตนยังยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดตามข้อกล่าวหาของดีเอสไอ เพราะใช้สิทธิร่วมชุมนุม ขึ้นเวทีปราศรัยตามสิทธิภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในการแสดงความคิดเห็น และร่วมชุมนุมเวทีราชดำเนินอย่างสงบสันติ ไม่นำอาวุธไปร่วมในการชุมนุม ส่วนที่ไม่ไปพบตามหมายเรียกนั้นก็มีเหตุผลที่ดีเอสไอให้เลื่อนได้ เพราะตนมีที่อยู่เป็นหลักแหล่งไม่มีพฤติกรรมหลบหนีแต่อย่างใด แต่ที่ดีเอสไออ้างว่ามีพฤติกรรมรุนแรงที่จะร่วใมชัตดาวน์ กทม.นั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องการเหวี่ยงแหที่ไม่ถูกต้อง โดยเห็นว่าควรจะพิจารณาตามข้อเท็จจริง เพราะ 33 คนที่ดีเอสไอจะขอออกหมายจับมีทั้งนักวิชาการ นักการเมือง ที่ไม่ได้เป็นแกนนำ กปปส. แต่ไปให้ความรู้ ให้ข้อมูลกับประชาชน ไม่ได้ก่อให้เกิดปัญหา ถึงขั้นที่จะตั้งข้อหากบฏหรือออกหมายจับ จึงฝากไปถึงดีเอสไอว่าการดำเนินการดังกล่าวเป็นความพยายามที่จะใช้วิชามารรังควานแกนนำบางส่วนและผู้ร่วมชุมนุมบางส่วนโดยหวังว่าจะสามารถระงับยับยั้งไม่ให้มีนักวิชาการ หรือนักการเมืองไปร่วมในการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญบนเวทีของการชุมนุม ซึ่งตนคิดว่าไม่สามารถยับยั้งการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญได้ อย่างไรก็ตามการที่ดีเอสไอใช้พฤติกรรมเหวี่ยงแหขอให้ศาลออกหมายจับนั้น ชี้ให้เห็นว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอีกครั้งหนึ่ง จึงหวังว่านับจากนี้ไปที่ดี