เศรษฐกิจไทยง่อยกินรอรัฐบาลใหม่
ภาพรวมเงินเฟ้อในปี 2557 ศูนย์วิจัยหลายสำนักยังคงห่วง เพราะมีความเสี่ยงทางการเมืองที่ยืดเยื้อ เป็นปัจจัยที่จำกัดโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าน่าจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้น ขณะที่แบงก์ชาติประเมินเศรษฐกิจไทยในปี 57 ยังเป็นผลต่อเนื่องจากการประคองเศรษฐกิจช่วงปี 56 การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. จะผสมผสานเครื่องมือต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อรักษาความเชื่อมั่นกรอบนโยบายการเงิน
เงินเฟ้อทรงตัว
แรงกดดันเงินเฟ้อช่วงปลายปี 2556 ยังอยู่ในระดับต่ำสอดคล้องกับสัญญาณซบเซาของกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทย โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ธ.ค.56 อยู่ที่ร้อยละ 1.67 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งแม้จะชะลอลงจากระดับร้อยละ 1.92 ในเดือน พ.ย.56 แต่ก็เป็นระดับที่สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ที่ระดับประมาณร้อยละ 1.5-1.6 ของศูนย์วิจัยกสิกรไทยและผลสำรวจนักวิเคราะห์โดยรอยเตอร์ ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานนั้น ขยับขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 มาอยู่ที่ร้อยละ 0.91 ในเดือน ธ.ค.56 จากร้อยละ 0.85 และร้อยละ 0.71 ในเดือน พ.ย. และเดือน ต.ค. ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ระดับราคาสินค้าผู้บริโภคยังคงทยอยปรับตัวสูงขึ้นเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน สะท้อนจากการขยับขึ้นเมื่อเทียบกับระดับในเดือนก่อนของดัชนีราคาผู้บริโภคอีกร้อยละ 0.14 ในเดือน ธ.ค.56 ตามทิศทางราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศ ราคาอาหารสำเร็จรูป (เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.34) ตลอดจนราคาสินค้าอุปโภคบริโภคอื่นๆ ที่น่าจะปรับตัวขึ้นตามเทศกาลเฉลิมฉลองในช่วงปลายปี
ฉายภาพรวมปี 57
อัตราเงินเฟ้อไทยอาจทรงตัว-ขยับขึ้นเล็กน้อยในช่วงต้นปี 2557 แต่ค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป น่าจะอยู่ที่ระดับใกล้เคียงร้อยละ 2.0 ในช่วงไตรมาสที่ 1/2557 โดยปัจจัยที่อาจส่งผลหนุนระดับราคาสินค้าผู้บริโภค ประกอบด้วยทิศทางเงินบาทที่ยังเคลื่อนไหวในกรอบที่อ่อนค่า (โดยถูกกดดันจากความตึงเครียดทางการเมืองและปัจจัยบวกของเงินดอลลาร์ฯ จากสัญญาณชะลอมาตรการ QE ของธนาคารกลางสหรัฐ) ซึ่งจะหนุนให้ราคาพลังงาน/วัตถุดิบและสินค้านำเข้าอื่นๆ ทรงตัวในระดับสูงกว่าในช่วงปลายปี 2556
การปรับขึ้นราคาก๊าซ LPG ตามแผนที่ได้วางไว้ในช่วงก่อนหน้านี้ ซึ่งในปี 2557 นี้ จะมีการปรับราคาก๊าซทั้งในส่วนของภาคครัวเรือนและภาคขนส่งควบคู่กันไป โดยราคา LPG ภาคครัวเรือนจะทยอยขยับขึ้นต่อเนื่องอีก 0.50 บาท/กก./เดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค.57 จนเข้าไปใกล้เคียงระดับราคาก๊าซ LPG ภาคขนส่ง และหลังจากนั้น จะขยับขึ้นพร้อมๆ กันไปราคาสะท้อนต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติที่ 24.82 บาท/กก. ซึ่งน่าจะเป็นช่วงระหว่างเดือน มี.ค. ถึงราวเดือน ส.ค.หรือ ก.ย.57
ภาพรวมเงินเฟ้อในปี 2557 น่าจะยังอยู่ในกรอบคาดการณ์ร้อยละ 2.2-2.6 ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย หากราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกทยอยขยับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดการณ์ค่าเฉลี่ยน้ำมันดิบดูไบในปี 2557 อยู่ที่ระดับประมาณ 105.6 ดอลลาร์ฯ/บาร์เรล ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบในปี 2556 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ การติดตามดูแลภาวะราคาสินค้าและภาระค่าครองชีพอย่างต่อเนื่องของทางการ ตลอดจนกิจกรรมทางเศรษฐกิจของไทยที่ยังไม่น่าจะสะท้อนภาพการฟื้นตัวได้อย่างชัดเจนนักในช่วงครึ่งแรกในปี 2557 ก็น่าจะยังเป็นตัวแปรสำคัญที่จำกัดกระบวนการส่งผ่านภาระต้นทุนจากฝั่งผู้ประกอบการมาที่ทิศทางราคาสินค้าขั้นสุดท้ายด้วยเช่นกัน
เงินเฟ้อทยอยปรับขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงประเมินว่า การขยับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในปี 2557 จะยังคงมีลักษณะทยอยขยับขึ้นตามสถานการณ์ของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังน่าจะถูกปกคลุมไปด้วยบรรยากาศการใช้จ่ายอย่างระมัดระวังของภาคครัวเรือนในช่วงเวลาส่วนใหญ่ของปี 2557
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า แรงกดดันเงินเฟ้อในปี 2557 จะมีโอกาสขยับสูงขึ้นกว่าระดับในปี 2556 เล็กน้อย ซึ่งก็ทำให้ยังไม่เป็นประเด็นที่น่ากังวล ณ ขณะนี้ หากเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวกลับมาได้ตามที่คาดหวังไว้
อย่างไรก็ตาม ความเสี่ยงทางการเมืองที่ยืดเยื้อ ยังคงเป็นปัจจัยที่จำกัดโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ซึ่งทำให้ทิศทางราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นก็อาจมีผลกดดันการใช้จ่ายของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้แล้ว ก็ยังคงต้องระวังปัจจัยที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายที่อาจมีผลหนุนทิศทางเงินเฟ้อ อาทิ ทิศทางการอ่อนค่าของเงินบาท ปัญหาความไม่สงบในตะวันออกกลางที่อาจมีผลต่อราคาน้ำมันในตลาดโลก หรือเงื่อนไขทางการเมืองที่อาจมีผลกระทบไปถึงความต่อเนื่องของการดำเนินนโยบายตรึงราคาพลังงาน (เช่น ในกรณีที่กองทุนน้ำมันฯ ไม่มีเงินกองทุนเพียงพอในการตรึงราคาน้ำมันดีเซลและก๊าซ LPG) เป็นต้น
ลุ้น กนง.ลดดอกเบี้ย
ด้านศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ วิเคราะห์เงินเฟ้อเดือน ธ.ค. อยู่ที่ 1.67% โดยเงินเฟ้อเฉลี่ยปี 2013 ชะลอลงเหลือ 2.18% เงินเฟ้อทั่วไปในเดือน ธ.ค.2013 ชะลอลงสู่ระดับการขยายตัวตามปกติ หลังจากที่เร่งขึ้นในเดือนพฤศจิกายนอันเนื่องมาจากผลของฐานราคาที่อยู่ในระดับต่ำ
เงินเฟ้อพื้นฐานเร่งขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 ตามการเร่งขึ้นของดัชนีราคาสินค้าในกลุ่มอาหารปรุงสำเร็จซึ่งเป็นปัจจัยหลักของดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน โดยในเดือนที่ผ่านมา ราคาอาหารปรุงสำเร็จเพิ่มขึ้น 2.22% YOY เร่งจาก 1.88% YOY ในเดือนก่อนหน้า
เงินเฟ้อทั้งปี 2013 ชะลอลงจากปีก่อนหน้าจากราคาน้ำมันและภาวะเศรษฐกิจในประเทศ แรงกดดันด้านราคาพลังงานในประเทศผ่อนคลายลงตามทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ชะลอตัว และการใช้จ่ายในประเทศที่อ่อนแรงลง นอกจากนี้ผลกระทบทางด้านต้นทุนจากการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศในช่วงต้นปี และการปรับขึ้นราคา LPG ภาคครัวเรือนตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.2013 มีไม่มากอย่างที่หลายฝ่ายกังวล ปัจจัยทั้งหมดนี้ส่งผลให้เงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยตลอดปี 2013 อยู่ที่ 2.18% และ 1.00% ตามลำดับ ชะลอลงจาก 3.01% และ 2.10% ตามลำดับ ในปี 2012 ซึ่งถือว่าเป็นระดับที่ไม่สูงมากนัก
เงินเฟ้อน่าจะยังเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ และไม่เป็นอุปสรรคต่อการลดดอกเบี้ยของคณะกรรมการนโยบายการเงิน แม้ว่าในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา เงินเฟ้อพื้นฐานซึ่งสามารถสะท้อนทิศทางการใช้จ่ายในประเทศได้บางส่วน จะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับ แต่การเร่งขึ้นส่วนใหญ่มาจากราคาอาหารปรุงสำเร็จซึ่งเป็นผลจากต้นทุนการผลิตทั้งในส่วนของวัตถุดิบและแก๊สหุงต้มมากกว่าที่จะเป็นการเร่งขึ้นจากอุปสงค์ภายในประเทศ ดังนั้น EIC ประเมินว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อจะยังไม่เป็นอุปสรรค หาก กนง.ตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม
EIC คาดเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานปี 2014 อยู่ที่ 2.5% และ 1.4% ตามลำดับ เร่งขึ้นจากปีที่ผ่านมาตามแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศที่น่าจะกลับมาฟื้นตัวอีกครั้งในช่วงกลางปี และทิศทางค่าเงินบาทที่อ่อนค่าน่าจะทำให้ต้นทุนการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิงสูงขึ้น
ผสานเครื่องมือการเงิน
ขณะที่ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 57 ยังเป็นผลต่อเนื่องจากการประคองเศรษฐกิจช่วงปี 56 โดยปัจจัยบวกที่จะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจไทย ได้แก่ การฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกจะส่งผลดีต่อภาคส่งออกไทย การอุปโภคบริโภคปรับตัวดีขึ้นจากปี 56 ช่วงปรับฐานและปัญหาหนี้ครัวเรือนเริ่มดีขึ้น ขณะที่การลงทุนคาดว่าจะมีมาบ้างจากกิจกรรมของภาครัฐ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปได้แม้ก่อนหน้านี้จะหวังภาคเอกชนจะลงทุนตามโครงการลงทุนภาครัฐเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ถ้าปัจจัยเหล่านี้กลับกันก็จะเป็นความท้าทายสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยต่อไป
สำหรับภาคสถาบันการเงินเห็นว่าธุรกิจหลักอย่างการปล่อยสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์จะลดลงเหลือ 7% ตามเศรษฐกิจชะลอตัว เทียบกับปี 56 ประเมินว่าจะโตได้ 9-10% ลดลงต่อเนื่องและภาพก็ต่างกับช่วง 10-20 เดือนที่ขยายตัวสูงตัวเลข 2 หลัก แม้การเติบโตสินเชื่อรวมของธนาคารจะลดลงในปี 57 แต่สมเหตุสมผลตามภาวะเศรษฐกิจจริงที่เกิดขึ้น ซึ่งก็มีส่วนคลายความกังวลในเสถียรภาพการเงินได้ระดับหนึ่ง
ในปี 57 การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท.จะผสมผสานเครื่องมือต่างๆ เข้าไว้ด้วยกัน เพื่อรักษาความเชื่อมั่นกรอบนโยบายการเงิน สร้างความยืดหยุ่นด้วยเครื่องมือหลากหลายรวมถึงพยายามเสริมสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจไทย โดยด่านแรกสุดจะดูแลให้ค่าเงินบาทมีความยืดหยุ่น ถัดมาการเพิ่มความยืดหยุ่นการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ และการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายให้มีความยืดหยุ่น
อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมบอร์ด กนง. วันที่ 22 ม.ค.57 จะมีการทบทวนประมาณการขยายตัวเศรษฐกิจไทยของปี 57 และเครื่องชี้เศรษฐกิจต่างๆ อีกครั้ง โดยเห็นว่าขณะนี้สถานการณ์ยังเป็นช่วงอึมครึมระยะหนึ่งก่อน แต่เมื่อใดที่ก้าวผ่านไปได้ จึงเชื่อว่าในปี 57 เศรษฐกิจไทยจะเดินหน้าต่อไปได้
เนื่องจากความไม่แน่นอนเศรษฐกิจโลก การฟื้นตัวของกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักที่ยังไม่เต็มที่ ต่างมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยผ่าน ภาคการส่งออก การค้า การลงทุน เงินทุนเคลื่อนย้าย อีกทั้งทิศทางเศรษฐกิจภายในประเทศไทยเองไม่เห็นท่าทีผงกหัวขึ้น ซ้ำร้ายเห็นภาพชะลอตัวชัดเจน เงินเฟ้อต่ำติดดิน สินเชื่อแผ่ว ซึ่งช่วยให้การตัดสินเรื่องดอกเบี้ยง่ายขึ้น จึงมีโอกาสสูงที่ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายลดลงได้อีก และหากสิ่งที่ทำมาไม่ได้ส่งผลดีขึ้นต่อเศรษฐกิจไทยก็อาจจะเพิ่มน้ำหนักการลดลงมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้อีก
เร่งสปีดหลังมีรัฐบาลใหม่
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ TMB Analytics คาดเศรษฐกิจปี 57 มีแนวโน้มขยายตัวลดลงเหลือร้อยละ 3.3 จากร้อยละ 4.2 ตามประมาณการเดิม เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากอัตราขยายตัวของปี 56 ที่น่าจะอยู่ราวร้อยละ 2.9 เนื่องจากการลงทุนที่คาดหวังเป็นตัวชี้นำเศรษฐกิจสะดุดลง ขณะที่การบริโภคขยายตัวได้ในวงจำกัด และการส่งออกที่เป็นความหวังเดียวที่จะผลักดันการเติบโตยังคงขยายตัวไม่เป็นไปในอัตราเร่ง
ในส่วนการลงทุนซึ่งแม้จะไม่ถึงขั้นเกียร์ว่างแต่ก็มีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน สืบเนื่องจากโครงการลงทุนตามกฎหมายพิเศษของรัฐบาลชุดก่อน ทั้งเมกะโปรเจกต์คมนาคมขนส่ง 2 ล้านล้านบาท และแผนลงทุนบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ที่มีอันต้องล่าช้าออกไปในช่วงสุญญากาศทางการเมือง และมีแนวโน้มที่ต้องถูกหยิบยกมาทบทวนพิจารณากันใหม่หากรัฐบาลใหม่ยังคงที่จะเดินหน้าโครงการต่อ อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าอาจมีบางโครงการที่เตรียมความพร้อมไว้แล้ว และจะได้รับการผลักดันให้ดำเนินการต่อ โดยโยกไปขอใช้งบลงทุนประจำปี 2557 บางส่วนจากงบลงทุนทั้งก้อนที่มีอยู่ 4.4 แสนล้านบาท แทนการใช้เงินกู้ตาม พ.ร.ก. เพื่อที่ทำให้โครงการที่มีความพร้อมลงทุนเดินหน้าต่อไป
ถึงกระนั้นก็ตาม เชื่อว่าการเบิกจ่ายงบลงทุนปกติจะมีแนวโน้มทำได้ต่ำกว่าเป้าที่ร้อยละ 82 อยู่มากและมีความล่าช้า ทำให้ประเมินเม็ดเงินลงทุนของภาครัฐลดลงไปประมาณ 9.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งส่งผลกระทบเชื่อมโยงไปถึงการลงทุนภาคเอกชนลดลงไปราว 1.3 แสนล้านบาท จากการหดหายของตัวขับเคลื่อนการลงทุนภาครัฐ และความเชื่อมั่นที่ลดลงทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุนไปก่อน สุดท้าย ทำให้ในภาพรวมแล้วเราจะเห็นเม็ดเงินลงทุนหายไปทั้งสิ้นประมาณ 2.2 แสนล้านบาท (เกือบร้อยละ 2 ของ GDP) หรือการลงทุนจะเพิ่มขึ้นจากปี 2556 เพียงร้อยละ 4.4 จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัวได้ถึงร้อยละ 10.4
การบริโภคนั้น คาดว่าจะขยายตัวได้เพราะมีแรงหนุนเพิ่มจาก 1.เงินใช้จ่ายในกระบวนการเลือกตั้งทั้งส่วนของงบประมาณเลือกตั้งที่ได้รับอนุมัติ 3.8 พันล้านบาท และส่วนเพิ่มเติมจากพรรคการเมืองต่างๆ รวมแล้วประเมินเม็ดเงินสะพัดจากการเลือกตั้งประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และ 2.แนวโน้มการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลใหม่ ซึ่งน่าจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังไปแล้ว ทำให้การบริโภคในปี 2557 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปี 2556 ไม่มากนัก โดยคาดว่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8
ดังนั้น แรงขับเคลื่อนที่มีบทบาทมากขึ้นและเป็นความหวังช่วยประคองเศรษฐกิจ ได้แก่ การฟื้นตัวของภาคส่งออกของไทยตามสัญญาณบวกเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะสหรัฐ สะท้อนจากข้อมูลล่าสุดที่ธนาคารกลางสหรัฐ หรือเฟด ได้ประกาศลดขนาดวงเงินที่อัดฉีดเข้าระบบโดยเริ่มตั้งแต่เดือน ม.ค.57 เหลือเดือนละ 7.5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ และแนวโน้มการขยายตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญทั้งญี่ปุ่น จีน และอาเซียน ซึ่งเราคาดว่าจะเห็นตัวเลขส่งออกสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐในปีหน้าเติบโตที่ร้อยละ 4.4 เทียบกับฐานในปี 2556 ที่แทบจะไม่ขยายตัว อีกทั้งเชื่อว่าภาคท่องเที่ยวยังคงเติบโตต่อไปแม้เป็นไปในอัตราชะลอลง ตามบรรยากาศการท่องเที่ยวที่ถูกลดทอนจากความไม่เสถียรภาพทางการเมือง
วันที่ 6/01/2557 เวลา 13:47 น.