6 ปีทวงเจ้าบอลซีเกมส์คืน

4 ทองกับวงการบอลไทย

 

 

หลังจากที่ห่างหายจากความสำเร็จในศึกลูกหนังซีเกมส์มานานกว่า 6 ปีเต็ม สำหรับขุนพลลูกหนังทีมชาติไทย โดยครั้งล่าสุดที่เคยก้าวขึ้นสู่โพเดียมในฐานะแชมป์ซีเกมส์ต้องย้อนกลับไปในซีเกมส์ ครั้งที่ 24 ที่โคราช เมื่อปี 2550 โน่นเลย

จากที่เคยเป็นถึงราชาอาเซียน ไร้เทียมทาน ไร้คู่ต่อกร จากความสำเร็จด้วยการครองแชมป์ 13 สมัยความผิดหวังจากการถูกเขี่ยตกรอบแรก 2 ครั้งติดต่อกันที่ผ่านมา (ครั้งที่ 25 ที่ประเทศลาว และครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดนีเซีย) จนทำให้หลายชาติในอาเซียนไม่เกรงกลัวศักดิ์ศรีพี่ไทยอีกต่อไป!

จนถูกมองว่าเป็นพวกแมวเซา มากกว่าเสือที่มีเขี้ยวเล็บ

การกลับมาของกองทัพลูกหนังช้างศึกเวอร์ชั่น 2013 ภายใต้การนำทัพของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง อดีตศูนย์หน้าชื่อดังของเมืองไทยที่เคยประสบความสำเร็จและถูกโฉลกกับซีเกมส์อย่างยิ่ง หลังเคยคว้าแชมป์ซีเกมส์ในฐานะนักเตะมาแล้ว 4 สมัยซ้อน (ครั้งที่ 17-20)

และภายใต้คอนเซ็ปต์ของซิโก้เอง “ไม่เน้นสกอร์ แต่เน้นที่ชัยชนะ” วลีนี้ช่างมีความหมาย และเป็นนัยที่เปิดประตูแห่งความสำเร็จในซีเกมส์ครั้งนี้

ต้องยอมรับกันว่า ฟุตบอล คือ กีฬาหมายเลขหนึ่งของซีเกมส์ที่ทุกชาติต่างหมายปอง เช่นเดียวกับไทยที่เตรียมทีมกันมายาวนานแรมปี ทั้งเดินสายอุ่นเครื่องอย่างต่อเนื่อง และปิดท้ายด้วยการเก็บตัวฝึกซ้อมก่อนเข้าสู่ทัวร์นาเมนต์ 1 เดือน ทำให้ “ซิโก้” มีเวลาเฟ้นหาผู้เล่นที่ดีที่สุด ควบคู่ไปกับการเตรียมความพร้อมถึงขีดสุดก่อนบุกถิ่นพม่าในช่วงตนเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

 

รอบแรกทีมชาติไทยถูกจับอยู่ในสายบี ร่วมกับเมียนมาร์ (เจ้าภาพ), อินโดนีเซีย (รองแชมป์เก่า), กัมพูชา และติมอร์เลสเต โดยใช้สังเวียนตูวันนา สเตเดี้ยม เป็นสถานที่แข่งขันเพื่อคัดเอา 2 ทีมที่ดีที่สุดผ่านเข้าสู่รอบรองฯ ต่อไป

ทีมชาติไทยภายใต้การนำของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เปิดหัวด้วยการเผชิญหน้ากับติมอร์เลสเต หรือแข้งสหประชาชาติที่โอนสัญชาติจากบราซิลและโปรตุเกสมาร่วมวงศ์กันอย่างโจ๋งครึ่ม เรียกได้ว่าเป็นติมอร์ฯ แค่ชื่อเท่านั้น ที่เหลือคือสอดไส้คาราเมลสไตล์ละตินล้วนๆ ไม่ใช่หมูให้ใครไล่ต้อนเหมือนวันวาน แต่แข้งไทยก็ยังอาศัยความเก๋าประสบการณ์ และชั้นเชิงที่เหนือกว่ากะซวกเอาชนะไปได้ 3-1

แต่ชัยชนะ 3-1 ประตู ยังทำให้หลายคนนั้นขุ่นมัวไม่พอใจกับสกอร์ที่ว่ามันต้องยิงให้มากกว่านี้

ในทางของ ซิโก้ บอกคำเดียวว่า ปล่อยไปเถอะเสียงนกเสียงกา แค่นี้จบ 3 แต้ม ผมก็แฮปปี้แล้ว!!!!!

นัดที่ 2 ไทยเจอกับอินโดนีเซีย ซึ่งเคยเป็น “หอกข้างแคร่” หรือ “ก้างปลาขวางลำคอ” ให้กับทัพสยามมาตลอด ยิ่งในการแข่งขันครั้งที่ 26 ที่ประเทศอินโดฯ เป็นเจ้าภาพ โดยอิเหนาเจ้าเล่ห์เล่นงานไทยด้วยการตะเพิดผู้เล่นเราออกจนเหลือ 9 คน เสมือนว่าเล่น 9 ต่อ 14! สุดท้ายก็หนีไม่พ้นความพ่ายแพ้ ช้างศึกโดนสอนเชิงไป 1-3 ในวันนั้น

ทว่าการเผชิญหน้ากันครั้งนี้แตกต่างไปจากเดิม ขุนพลนักเตะประเทศสยามมีความกระหายที่จะคว้าชัยและล้างแค้นให้ได้ แล้วก็ทำสำเร็จแบบทบต้นทบดอก ยำใหญ่ใส่สารพัด 4-1

ด้วยความสะใจของเหล่ากองเชียร์ทั่วไทย รวมถึงทัพนักข่าวที่คอยเชียร์กันอยู่ในห้องเพรสใหญ่ที่กรุงเนปิดอว์

มาถึงนัดที่ 3 ซึ่งเป็นเกมที่ยากที่สุดในรอบแรก เพราะต้องเผชิญหน้ากับเจ้าภาพเมียนมาร์ ซึ่งวางโปรแกมให้ตัวเองได้พักมากกว่าไทยถึง 5 วัน ขณะที่ไทยเพิ่งบดกับอิเหนามาพักวันเดียวเท่านั้น

แต่ถึงอย่างไรด้วยหัวจิตหัวใจที่เกินร้อย บวกกับศักดิ์ศรีที่ยุคสมัยพระนเรศวร สามารถบุกเอาชนะพม่ารามันเป็นเดิมพัน ศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนักจะพ่ายแพ้ไม่ได้

เกมเปิดขึ้นนักเตะจากทีมหม่องก็เฮกันลั่นสนามเมื่อออกนำไปก่อน 1-0 แต่สุดท้ายแข้งช้างศึกก็รวมใจกันกลับมาไล่ตีเสมอแชร์แต้มไปได้ในท้ายที่สุด 1-1

นัดปิดท้ายรอบแรกเสมอกับกัมพูชาไปแบบไร้สกอร์ 0-0 แม้ว่าจะมีเสียงวิจารณ์หนาหูแต่ก็เป็นแท็กติกและเส้นทางของทีมที่จะเป็นแชมป์ เพราะ พม่า เจ้าภาพนัดสุดท้ายดันมา “ตกม้าตาย” พ่ายให้กับ “อิเหนา” 0-1 มี 7 แต้มเท่ากัน แต่นับแบบ “เฮดทูเฮด” ไม่ได้นับคะแนนประตูได้เสียอย่างที่คิด จึงทำให้ พม่ารามัน ตกรอบ แบบแฟนบอลคลั่งพังสนาม เผาสนาม

มาถึงรอบรองชนะเลิศ ไทยต้องเจอกับสิงคโปร์ ทีมแกร่งที่มีร่างกายสูงใหญ่ เล่นบอลหนัก ดุดัน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่อาจหยุดยั้งความร้อนแรงของแข้งช้างศึกได้ โดยไทยเป็นฝ่ายเฉือนเอาชนะไปได้แบบหวุดหวิดจากจุดโทษของ ประวีณวัช บุญยงค์

เป้าหมายในการคืนสู่บัลลังก์ในรอบ 6 ปี ขยับใกล้เข้ามาทุกขณะ เหลืออีกเพียงแค่สเต็ปเดียวเท่านั้น ความฝันของพี่น้องชาวไทยก็จะสำเร็จตามเป้าหมาย โดยรอบชิงชนะเลิศโคจรมาพบกับอินโดนีเซียคู่ปรับเก่าอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการรีแมตช์จากเกมรอบแรกที่ไทยเคยถล่มมาก่อน 4-1

เกมนัดชิงเหรียญทองกลายเป็นหนังม้วนเก่า..เล่าใหม่ เมื่อแข้งไทยเป็นฝ่ายย้ำแค้นเอาชนะอิเหนาไปได้อีกครั้งด้วยสกอร์ 1-0 โดยได้ประตูชัยจาก ศราวุฒิ มาสุข ที่สวมบทฮีโร่ซัลโวประตูพาทีมชาติไทย กลับมาผงาดครองแชมป์ซีเกมส์เป็นสมัยที่ 14 ได้สำเร็จ

ต้องขอปรบมือดังๆ ให้กับความสำเร็จกับการก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในอาเซียนอีกครั้งของทีมฟุตบอลชายไทยและหญิงด้วยนะครับ ผลพวงจากการทำงานอย่างหนักของ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง และทีมงาน สุดท้ายก็บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ถึงแม้การเตรียมทีมกันไม่ต่ำกว่า 10 เดือน ซึ่งนี่คือความไม่ประมาทของ ซิโก้ ที่ไม่ได้มองว่าเพื่อนบ้านนั้นเป็นหมูให้เคี้ยวอีก

ต่อไปมันสะท้อนออกมาถึงรูปแบบสไตล์การเล่นที่เปลี่ยนไปของทีมชาติไทย ย้อนซักประมาณ 15 ปีก่อน ยามเราเจอเพื่อนบ้านไม่ว่าจะเป็นทีมชาติอะไรก็ตามในละแวกนี้เราจะบุกเดินหน้าสร้างทำเกมรุกเข้าใส่ตลอดเวลา ด้วยทักษะระบบทีมที่เหนือกว่ายิงได้มากยิงได้น้อยก็อีกเรื่อง

 

แต่วันนี้สมัยนี้วงการฟุตบอลในย่านนี้พัฒนาขึ้นทันเราแล้ว ทุกทีมสามารถแพ้-ชนะกันได้หมด สไตล์รูปแบบการเล่นจัดวางแผนของ ซิโก้ จึงออกมา ในแนวเล่นด้วยความรัดกุมยามที่เรามีสกอร์ขึ้นนำราวกับเราคือ อิตาลี แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สไตล์ได้ประตูนำแล้วเน้นโซนถูกนำมาใช้ในรายการนี้และมันได้ผลเพราะรูปเกมไม่สวยแต่เหรียญทองตอบโจทย์ทุกอย่างในตัวมันได้ดี

การที่เรากลับมาเป็นแชมป์ซีเกมส์ในครั้งนี้เหมือนการปลุกผีให้ตื่นขึ้นมา

ผมเชื่อว่าภายใน 2-3 ปีจากนี้ วงการบอลไทยจะคึกคักขึ้นมาอีกครั้ง เป้าหมายใหญ่จริงๆ คือรายการชิงแชมป์อาเซียนหรือ ซูซูกิ คัพ เราต้องทวงความเป็นหนึ่งจากทีมสิงคโปร์ ให้ได้

จากนี้คือการบ้านชิ้นใหญ่มองไปถึงระดับเอเชียด้วย ศักยภาพในตอนนี้เรายังไปไม่ถึงขั้นนั้นขอให้ทำอย่างจริงจังและไปตามสเต็ปทีละขั้น เราก็น่าจะมีโอกาส เด็กรุ่นใหม่จากชุดนี้หลายคนเล่นชุดใหญ่ได้สบายและน่าจะเป็นแกนหลักไปอีกนาน

อย่าง “เจ้าอุ้ม” ธีราทร บุญมาทัน ดูเป็นผู้ใหญ่นิ่งขึ้นมากและนี่คืออนาคตกัปตันทีมชุดใหญ่ ชารีล ชัฟปุย สไตล์การเล่นที่ยกระดับ เหนือชั้นขึ้นไปอีกขั้น รักษาร่างกายดีๆ คนนี้คือห้องเครื่องในระบบทีมฟุตบอลที่ดีที่สุดของเมืองไทยเวลานี้

 

ฐิติพันธุ์ หนึ่งในกองกลางไดนาโมอนาคตของทีมชาติไทยชุดใหญ่พัฒนาประสบการณ์อีกหน่อยนี่ก็ตัวหลักแน่นอน ยังมีอีกหลายคนที่ผมมองว่ากำลังก้าวข้ามจากระดับล่างขึ้นสู่ระดับท็อปอย่าง ชนาธิป, ปกเกล้า, อาทิตย์, และเกริกฤทธิ์ นี้เป็นหนึ่งในพวกนักเตะที่น่าจะเป็นอนาคตของทีมชาติไทยได้แน่นอน

อย่าให้ได้มาแล้วผ่านไป อยากให้พัฒนาตัว และสร้างมาตรฐานให้สูงขึ้นกว่านี้ ซึ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวนักเตะเองทั้งนั้น เราคอยติดตามดูกันว่า ซิโก้ ที่ได้รับมอบหมายให้ทำทีมเอเชี่ยนเกมส์จะพาทีมไปได้ไกลแค่ไหนกับบอลระดับทวีป ซึ่งแกนหลักในทีมก็น่าจะเป็นเด็กชุดนี้แน่นอน

นี่คือช่วงระยะเวลากว่า 11 เดือนที่ผ่านมา แข้งช้างศึกภายใต้การคุมทัพของ “ซิโก้” เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ต้องแบกรับความกดดัน จากเป้าหมายที่พี่น้องชาวไทยวางไว้ว่าต้องแชมป์…ต้องแชมป์เท่านั้น

6 ปีที่รอคอย…บัดนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ทีมชาติไทยกลับมาประกาศศักดาบนแผ่นดินพม่า เป็นสัญญาณเตือนให้รู้ว่า “ราชาอาเซียน” คนเดิมยังมีลมหายใจ และพร้อมที่จะกลับมาทุกเมื่อ ถ้าหากเราต้องการ

สำหรับผลงานที่สุดยอดส่งท้ายปี 2556 สำหรับสมาคมฟุตบอลไทยฯ ที่สามารถพาทีมฟุตบอลทั้งประเภทชายและหญิงผงาดแชมป์มหกรรมกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ณ ประเทศเมียนมาร์ได้สำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ 4 ทองนั้น

แชมป์นี้ที่รอคอยกับฟุตบอลชายไทยที่ได้เอื้อนเอ่ยไว้ข้างต้นแล้ว

 

ฟุตซอลชายไทยแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน

ส่วนทัพนักเตะโต๊ะเล็กฟุตซอลชายไทยของ วิคเตอร์ เฮอร์มันส์ กุนซือชาวฮอลแลนด์ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโด่ดเด่นสมราคารองแชมป์เอเชียปี 2555 ครั้งนี้พวกเขาก็สามารถคว้าแชมป์ซีเกมส์ได้สำเร็จเช่นกัน โดยในนัดชิงชนะเลิศถลุงเวียดนามอย่างเละเทะ 8-1 รักษาอันดับแชมป์ 3 สมัยติดต่อกัน

ฟุตบอลสาวไทยสะใจทวงแค้นคืนจากเวียดนาม 2-1

 

ขณะที่ ทัพแม่เนื้ออ่อนของ “มาดามแป้ง” นวลพรรณ ล่ำซำ ผู้จัดการทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทย ชุดซีเกมส์ เป็นปลื้มสุดๆ หลังรอคอยเหรียญทองมา 4 ปีเช่นกัน และในซีเกมส์หนนี้ แข้งสาวของเธอก็ไม่น้อยหน้านักเตะผู้ชาย ด้วยการทวงแค้นคืนจากทีมชาติเวียดนามเอาชนะหวุดหวิด 2-1 ขึ้นแท่นโพเดียมครองเหรียญทองห้อยคอเป็นสมัยที่ 5 ทำให้เป็นเบอร์หนึ่งมากสุดในบรรดาแข้งสาวอาเซียน หลังย้อนกลับไปเมื่อ 4 ปีที่ผ่านมา ต้องช้ำใจพลาดท่าให้สาวเวียดนามในนัดชิงชนะเลิศ ซีเกมส์ที่ประเทศลาว งานนี้ “มาดามแป้ง” ถือว่าเป็นชุดที่มีความหวัง และนักเตะทั้งรุ่นเก่าและใหม่ปรับตัวเข้ากันได้อย่างดี พร้อมจะพยายามผลักดันไปให้ถึงฟุตบอลโลกปี 2015 ที่แคนาดา อีกด้วย

ปิดท้ายโต๊ะเล็กแม่เนื้ออ่อนไม่ธรรมดาแชมป์ 3 สมัยติด

มาทางฝั่งโต๊ะเล็กสาวกันบ้าง ที่สร้างผลงานได้ตามคาดกับเหรียญทองซีเกมส์ ด้วยการย้ำชัยชนะถล่มสาวญวนแบบขาดลอยถึง 5-0 ครองแชมป์ 3 สมัยเท่ากับนักเตะโต๊ะเล็กชายเหมือนกัน งานนี้ทัพนักเตะชายไทยและหญิง สร้างประวัติศาสตร์แบบหน้าจดจำอีกหนึ่งครั้งในมหกรรมกีฬา ซีเกมส์ ครั้งที่ 27 ณ ประเทศเมียนมาร์

นี่คือความสำเร็จความยิ่งใหญ่ของวงการลูกหนังไทยที่คว้า 4 เหรียญทองมาครองได้สำเร็จ สร้างรอยยิ้มให้กับคนไทยทั้งประเทศ หลังจากที่มีเรื่องการเมืองไทยเข้ามายุ่งให้รกสมองอยู่นาน

 

ทีมข่าวกีฬาบ้านเมือง

 

 

วันที่ 2/01/2557 เวลา 14:38 น.

uasean

 

เครดิตและบทความเรื่องอื่นๆของ banmuang.co.th ดูทั้งหมด

216

views
Credit : banmuang.co.th


สงวนลิขสิทธิ์ © 2556 uAsean.com มหานครอาเซียน