สารพัดปัญหาศก.ไทยปีมะเส็ง
ในรอบปี 2556 ได้มีเหตุการณ์ที่หลายคนมองว่าไม่น่าจะเกิดขึ้นในแวดวงเศรษฐกิจไทย และบางเหตุการณ์เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นฉบับวันนี้ “บ้านเมือง” ได้รวบรวมสถานการณ์ต่างๆ ไว้ ที่ถือว่าเป็นข่าวร้อนข่าวดังในรอบ 1 ปีที่ชื่อว่า “มะเส็ง”
0 น้ำท่วม 78 โรงงานกระอัก
ข่าวเด่นข่าวฮอตในรอบปี 2556 ในสายกระทรวงอุตสาหกรรม คงจะเป็นเรื่องน้ำท่วมครั้งใหญ่ของนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร จ.ชลบุรี ซึ่งมีพื้นที่คาบเกี่ยว ระหว่าง อ.เมือง อ.พานทอง ระดับน้ำที่ท่วมขังในพื้นที่ได้สูงขึ้น โดยถนนบางสายมีน้ำท่วมสูงถึง 70 เซนติเมตร จากเดิมที่ทรงตัวเฉลี่ย 50 เซนติเมตร ซึ่งปัจจัยดังกล่าวมาจากภาวะน้ำทะเลหนุนสูงส่งผลให้การผลักดันน้ำที่ท่วมขังอยู่ในพื้นที่ จากน้ำที่บ่ามาจาก อ.พนัสนิคมให้ออกสู่ทะเลเพื่อรักษาพื้นที่ทำได้ยากลำบาก อย่างไรก็ตามทางนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครได้ประสานไปยังบริษัทต่างๆ เพื่อให้มีการทำงานตามปกติโดยทางนิคมอมตะนคร
โดยนายประเสริฐ บุญชัยสุข รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้ลงพื้นที่เพื่อสำรวจสถานการณ์น้ำในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร และประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จ.ชลบุรี การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) วางแผนผลักดันน้ำออกจากพื้นที่นิคมเพื่อให้สถานการณ์กลับสู่ปกติโดยเร็วที่สุด ขณะเดียวกันนายวิบูลย์ กรมดิษฐ์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) ได้เร่งประสานงานร่วมกับทุกฝ่ายติดตามสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิด ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมขังในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนครมีระดับน้ำลดลง 15-20 ซม. โดยพื้นที่เฟส 7 บางจุดยังมีระดับน้ำบนผิวการจราจรอยู่ที่ 30-35 ซม. ส่วนการประกอบการของโรงงานยังคงเดินหน้าผลิตได้ตามปกติ มีโรงงานจำนวน 17 แห่งขอหยุดการผลิตชั่วคราว เนื่องจากในพื้นที่เฟส 7 มีน้ำล้อมรอบอยู่บริเวณด้านนอกโรงงาน ทำให้พนักงานไม่สามารถเดินทางเข้ามาทำงานได้สะดวก โรงงานจึงขอหยุดการผลิตชั่วคราว แต่ภายในโรงงานไม่มีน้ำเข้าท่วมแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันจากการเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นขณะนี้ได้ขยายวงกว้างมากขึ้น และสร้างความเสียหายเกิดขึ้นกับโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว 11 จังหวัด โดยมีผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมแล้วจำนวน 78 ราย แบ่งเป็นโรงงานขนาดเล็ก 69 ราย ขนาดกลาง 4 ราย และขนาดใหญ่ 5 ราย แบ่งเป็นในจังหวัดอุบลราชธานี 11 ราย ศรีสะเกษ 16 ราย นครนายก 13 ราย ปราจีนบุรี 7 ราย จันทบุรี 1 ราย ชัยภูมิ 5 ราย อ่างทอง 6 ราย บุรีรัมย์ 2 ราย สระแก้ว 8 ราย พระนครศรีอยุธยา 1 ราย และฉะเชิงเทรา 8 ราย คิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 84 ล้านบาท
0 สอท. 2 ก๊กรบแตกหัก
เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม คณะกรรมการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) มีการประชุมกัน 2 ฝ่ายที่ขัดแย้งกัน โดยกลุ่มของนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน สอท. จัดประชุมที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ มีคณะกรรมการเข้าร่วมประมาณ 183 คน ส่วนฝั่งนายธนิต โสรัตน์ เลขาธิการ รักษาการประธาน สอท. ได้ประชุมกันที่โรงแรมดุสิตธานี มีผู้เข้าร่วมประมาณ 176 คน
ทั้งนี้ หลังการประชุมคณะกรรมการ สอท. ว่าจะไม่รับรองการดำเนินงานใดๆ ที่นายพยุงศักดิ์ได้ดำเนินการไว้ เพราะถือว่าพ้นจากการเป็นประธาน สอท.ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 26 พ.ย.55 โดยเฉพาะการรับรองงบประมาณปี 2556 และการเบิกจ่ายเงินจากบัญชีธนาคารในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาผู้ลงนามในเช็คไม่ใช่เหรัญญิก ซึ่งต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ (ข้อบังคับ สอท.ฉบับที่ 2 พ.ศ.2531 ข้อ 5)
สำหรับปัญหา สอท.มีการยึดติดกับอำนาจ ตำแหน่งส่วนบุคคลมากกว่าองค์กร มีการดึงอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ 5-6 ราย เข้ามาร่วมเพื่ออ้างความชอบธรรม โดยไม่สนใจกรรมการ-สมาชิกส่วนใหญ่ของ สอท. ที่ได้ถอดถอนอดีตประธานออกจากตำแหน่ง ทำให้ปัญหามีความซับซ้อน กลไกข้อบังคับ-พ.ร.บ. ไม่สามารถใช้ได้ เพราะไม่ยึดถือเรื่องที่จะตีความโดยไม่ดูตัวบทและวัตถุประสงค์ ทำให้เกิดความสับสนต่อกรรมการสมาชิก และบุคคลภายนอก
โดยอุตสาหกรรมขนาดใหญ่จะต้องวางตัวเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพื่อให้เกิดการเจรจาในกระบวนการแก้ปัญหา เพราะที่ผ่านมาถูกดึงเข้ามาเพื่อสร้างความชอบธรรมทำให้ปัญหาความขัดแย้งถูกล็อกหาทางแก้ไขไม่ได้ อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ควรจะรับฟังข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายและมีส่วนร่วมเป็นคนกลางในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา
0 เปิดศึกชิงบิ๊ก สอท.เดือด
สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย กลับมาคึกคักอีกครั้งกับการเลือกตั้งประธานคนใหม่ หลังจากปลายปีก่อนสงครามแย่งชิงอำนาจ 2 กลุ่ม ของบรรดานายทุนเล็กกับนายทุนใหญ่จนเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก สุดท้ายนายทุนใหญ่นำโดย “พยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล” คุมสถานการณ์ได้หมด มาคราวนี้เซอร์ไพรส์ เมื่อ “วิศิษฎ์ ลิ้มประนะ” รองประธานฯ ผู้มากด้วยความสามารถในซีกฝั่ง “พยุงศักดิ์” เพราะเจ้าตัวจะประกาศตัวเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 พ.ย.56 ที่จังหวัดเชียงราย ต่อที่ประชุมสมาชิกทั่วประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มต่อต้าน “พยุงศักดิ์”
งานนี้ “พยุงศักดิ์” ที่ประกาศสนับสนุน “เจน นำชัยศิริ” และ “สุพันธุ์ มงคล สุธี” ให้ลงชิง ชัยตำแหน่งประธานถึงกับพูดไม่ออก จากนี้ต้องติดตาม “วิศิษฎ์” เต็ง 1 ประธานคนต่อไปว่าจะโน้มน้าวให้สมาชิก 7,000-8,000 ราย กลับมาคืนดีกันเหมือนเดิมได้หรือไม่ ซึ่งจะมีการเลือกตั้งในเดือน มี.ค.57 โดยนายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธาน ส.อ.ท.คนปัจจุบัน ซึ่งกำลังจะพ้นวาระ
0 น้ำมันรั่วอ่าวพร้าวป่วน
ข่าวเด่นข่าวดังในสายพลังงานนั้น คงต้องเป็นเรื่องน้ำมันรั่วกลางทะเลเมื่อวันที่ 27 ก.ค.56 จนคราบน้ำมันไปเกาะอยู่ที่อ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จ.ระยอง ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือพีทีทีจีซี เกิดการรั่วไหลลงทะเล ซึ่งจากการสอบสวนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์น้ำมันรั่วในครั้งนี้พบว่า ไม่ใช่ความผิดของพนักงานพีทีทีจีซี เนื่องจากในช่วงเกิดเหตุพนักงานในเรือได้ปฏิบัติตามขั้นตอนการขนถ่ายน้ำมันและแก้ไขสถานการณ์ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ยังไม่พบว่ามีปัจจัยภายนอกอื่นใดที่จะเป็นสาเหตุให้ท่อถ่ายน้ำมันรั่วได้ ดังนั้นเชื่อว่ามาจากวัสดุภายในของท่อเองที่เกิดระเบิดขึ้น และได้แนะนำให้พีทีทีจีซีตั้งคณะทำงานตรวจสอบสาเหตุการแตกของท่อโดยให้ผู้เชี่ยวชาญดำเนินการตรวจสอบต่อไป
นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่และกรรมการ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือพีทีทีโกลบอล แจงว่าปัญหาน้ำมันรั่วจนถึงปัจจุบัน บริษัทได้จ่ายค่าชดเชยให้กับผู้ประกอบการและชาวประมงแล้ว 5,000 ราย มูลค่า 400-500 ล้านบาท จากผู้ยื่นขอรับความช่วยเหลือรวม 16,000 ราย ทั้งนี้ การช่วยเหลือที่ล่าช้าเพราะเบื้องต้นพบว่าบางรายไม่ได้เดือดร้อนจริง ทั้งนี้บางส่วนต้องการให้บริษัทจ่ายเงินเพิ่ม ซึ่งต้องยื่นอุทธรณ์เป็นรายๆ ไป
จากที่ทางจังหวัดระยองได้เปิดศูนย์รับเรื่องเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากกรณีน้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเลระยอง เมื่อวันที่ 27 ก.ค. จนถึงปิดรับคำร้องไปตั้งแต่วันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา มีผู้เข้ามาลงทะเบียนรับการเยียวยาแล้วประมาณ 1.3 หมื่นราย แบ่งเป็นกลุ่มประมงจำนวน 3.8 พันราย กลุ่มโรงแรม ร้านอาหาร และบริการจำนวน 1.4 พันราย และกลุ่มอาชีพอื่นๆ 7.9 พันราย ทั้งนี้ บริษัทได้เร่งทยอยจ่ายเงินชดเชยเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำมันรั่วและลุกลามไปยังเกาะเสม็ดแล้วกว่า 3.5 พันราย โดยใช้เงินไปกว่า 141 ล้านบาท จ่ายเงินชดเชยผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกสาขาอาชีพ ตั้งแต่ผู้ประกอบการรายเล็กไปจนถึงผู้ประกอบการรายใหญ่
0 ขึ้นราคาก๊าซแอลพีจียกแผง
การปรับโครงสร้างราคาก๊าซแอลพีจีจะเสนอคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) กำหนดเป็นมาตรการว่าต้องทยอยปรับขึ้นราคาในปี 2556 เป็นการทยอยขึ้นเป็นรายเดือนเดือนละ 50 สตางค์ต่อกิโลกรัม หรือเท่ากับว่าตลอดปีหน้าจะปรับขึ้นราคาแอลพีจีรวม 6 บาทต่อ กก. ทั้งในส่วนของภาคครัวเรือนและภาคขนส่งที่ต้องปรับขึ้นราคาพร้อมกัน ไปอยู่ที่ 24.82 บาทต่อ กก. จากปัจจุบันภาคครัวเรือนอยู่ที่ 18.13 บาทต่อ กก. และภาคขนส่งอยู่ที่ 21.38 บาทต่อ กก. ในส่วนของราคาภาคขนส่งจะเป็นราคาที่เริ่มปรับขึ้นจาก 21.38 บาทต่อ กก. ไปจนครบกำหนดที่ราคา 24.82 บาท เพื่อให้สะท้อนราคาต้นทุนก๊าซแอลพีจีในตลาดโลกปัจจุบันเฉลี่ยที่ 550 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่รัฐบาลกำหนดราคาจำหน่ายในประเทศเพียง 333 เหรียญต่อตัน ทำให้เป็นภาระการดูแลและอุดหนุนราคาผ่านกองทุนน้ำมัน
ทั้งนี้ การทยอยปรับขึ้นราคาแอลพีจีของภาคครัวเรือนและภาคขนส่ง แม้ว่าจะยังไม่ครอบคลุมกับราคาต้นทุนที่แท้จริงหรือเท่ากับประมาณ 30 บาทต่อ กก. ซึ่งเป็นราคาที่ภาคอุตสาหกรรมใช้อยู่ขณะนี้ แต่เพื่อเป็นการทยอยปรับขึ้นราคาเพื่อให้ประชาชนปรับตัวก่อนปรับราคาใหม่อีกครั้งในปี 2557 และเตรียมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ปี 2558 ที่ในเวลานั้นราคาพลังงานของอาเซียนจะใกล้เคียงกันหมด หากประเทศใดราคาพลังงานต่ำกว่าหรือบิดเบือนราคาตลาดโลก จะเกิดการลักลอบนำออกไปจำหน่ายในประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นภาระของกองทุนน้ำมันในระยะยาว ดังนั้นคงต้องจับตาคณะรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะปล่อยผีหรือชะลอราคาพลังงานหรือไม่
0 สรรพากรฉาวคดีโกงแวต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงกลางปี 2556 ที่ผ่านมา ทางกระทรวงการคลัง ออกมาระบุว่า เบื้องต้นมีการตรวจสอบพบการทุจริตขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากการส่งออกของเอกชน มูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท และจากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบว่า ต้องมีเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากรให้ความร่วมมือในการทุจริตดังกล่าวอย่างแน่นอน ซึ่งทางกระทรวงการคลังก็ได้ส่งเรื่องดังกล่าวให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ดำเนินการตรวจสอบ หาพยานหลักฐานต่างๆ ส่วนกระทรวงการคลัง และกรมสรรพากรต่างก็ตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าวเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้ ในเดือน ส.ค.56 กระทรวงการคลังออกมาระบุว่า ได้รวบรวมข้อมูลหลักฐานจากที่ต่างๆ ทั้งกรมสรรพากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ และจากตัวบุคคล ซึ่งในชั้นต้นสรุปได้ว่ามีเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งสิ้น 18 ราย แบ่งเป็นข้าราชการประเภทอำนวยการระดับสูง และประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ หรือซี 9 จำนวน 4 ราย และข้าราชการระดับผู้ปฏิบัติงานทั้งระดับชำนาญการพิเศษ ระดับชำนาญการ และระดับปฏิบัติการรวมทั้งสิ้น 14 ราย โดยการกระทำอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล
และจากนั้นในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ก็มีมติแต่งตั้งโยกย้ายนายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ไปนั่งเก้าอี้ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง และโยกนายสุทธิชัย สังขมณี ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลังดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรแทน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากนั้นนายประสิทธิ์ สืบชนะ ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกระทรวงการคลัง ออกมาระบุว่า หลังจากติดตามรายงานเพิ่มจากกรมสรรพากรสามารถขยายผลการตรวจสอบข้าราชการกระทำความผิดเพิ่มอีก 2 ราย เป็นเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร ระดับปฏิบัติการและผู้เชี่ยวชาญชำนาญการ ระดับซี 9 ลงมา โดยหลังจากนี้ทางคณะกรรมการ จะเสนอรายชื่อเพิ่มเติมต่อปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อตั้งคณะกรรมการสอบวินัยต่อไป
สำหรับข้าราชการ 18 คน และอีก 2 คน ที่ขยายผลเพิ่มเติมแม้จะถูกตั้งสอบวินัย แต่ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์ และต้องชี้แจงข้อเท็จจริงจนกว่าจะมีการสรุปผลการสอบทางวินัย และหากถูกชี้ว่ามีความผิด ก็ยังสามารถอุทธรณ์ได้ตามระเบียบของราชการ จะใช้ระยะเวลา 60 วันหลังจากตั้งสอบทางวินัย ส่วนกรณีข้าราชการกระทำความผิด 18 คน ดีเอสไอได้ส่งรายชื่อให้กับสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ดำเนินการต่อไป ปัจจุบันคดีดังกล่าวอยู่ในขั้นตอนที่เปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวได้ชี้แจงในประเด็นต่างๆ และเมื่อครบ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก็จะนำข้อชี้แจงมาพิจารณาว่ามีน้ำหนักหรือไม่อย่างไร
0 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในรอบปีที่ผ่านมาที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบปรับปรุงโครงสร้างอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่ ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ส่งผลทำให้โครงสร้างอัตราภาษีฯ ใหม่ดังกล่าว มีส่วนช่วยผู้มีรายได้ไม่เกิน 2 หมื่นบาทต่อเดือนไม่ต้องเสียภาษี
ทั้งนี้ จะมีการคำนวณเงินได้สุทธิจาก 5 ขั้นอัตรา (10% 20% 30% 35% และ 37%) เป็น 7 ขั้นอัตรา (เริ่มตั้งแต่ 5% 10% 15% 20% 25% 30%) และลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากอัตราสูงสุด 37% เหลือ 35% ทำให้ผู้เสียภาษีเสียภาษีลดลง 5-50% โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีรายได้น้อย โดยกรมสรรพากรยืนยันว่าการปรับอัตราภาษีดังกล่าวจะไม่กระทบกับการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาล เพราะจะสูญเสียรายได้เพียง 2.6 หมื่นล้านบาทเท่านั้น โดยอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาใหม่จะมีผลบังคับใช้ได้ทันการยื่นแบบฯ ในปี 2556
0 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสร็จเปิดสะพาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2556 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธานร่วมในพิธีเปิดสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ร่วมกับ ฯพณฯ บุนยัง วอละจิต รองประธานประเทศแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว การนี้ทรงทอดพระเนตรนิทรรศการมิตรภาพข้ามพรมแดนของกรมทางหลวงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ณ อาคารด่านพรมแดน สะพานมิตรภาพ 4 ฝั่งไทย จังหวัดเชียงราย โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กราบบังคมทูลรายงาน พร้อมด้วยหน่วยงานจากภาครัฐ เอกชน พ่อค้า ประชาชน และแขกผู้มีเกียรติ เฝ้ารอรับเสด็จและเข้าร่วมในพิธีเป็นจำนวนมาก
สำหรับสะพานมิตรภาพ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ เพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งของประเทศไทย ลาว และจีนตอนใต้เข้าด้วยกัน ภายใต้กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ซึ่งรัฐบาลไทย รัฐบาลสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว รัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีน ร่วมกับธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้ร่วมกันดำเนินการมาตลอด โดยการก่อสร้างสะพานมิตรภาพ 4 รัฐบาลไทยจัดสรรงบประมาณในการก่อสร้างครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งรัฐบาลจีนเป็นผู้ให้การสนับสนุนร่วมรับผิดชอบ ซึ่งกระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวงรับผิดชอบในการก่อสร้าง วงเงินค่าก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 1,570 ล้านบาท
0 สปีดโบ๊ตชนกันที่พัทยา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา ร.ต.ท.สุพรรณ โสภี พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา ได้รับแจ้งเกิดอุบัติเหตุเรือสปีดโบ๊ตชนกัน มีนักท่องเที่ยวชาวเกาหลีใต้ได้รับบาดเจ็บหลายคน ที่เหตุเกิดอยู่บริเวณหาดตาแหวน แขวงเกาะล้าน เมืองพัทยา หมู่ 7 ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ขณะที่เรือกู้ภัยแขวงเกาะล้านและเรือเร็วของพลเมืองดีทยอยนำผู้บาดเจ็บส่งที่ท่าเทียบเรือท่องเที่ยวแหลมบาลีฮาย พัทยาใต้
และเมื่อวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา ก็ได้เกิดเหตุซ้ำรอย เรือสปีดโบ๊ตชนสนั่นกลางอ่าวพัทยา นักท่องเที่ยวจีนถูกใบพัดฟันดับ 2 ศพ บาดเจ็บ 4 ราย เหตุเกิดขณะเรือสปีดโบ๊ตกลับเข้าฝั่งเทียบท่า หัวเรือเกี่ยวเชือกสมอเรือที่จอดอยู่หน้าอ่าวจนเสียการทรงตัว ถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วไปกระแทกกันอย่างรุนแรงจนเกิดเหตุ สอบสวนทราบว่านักท่องเที่ยวชาวจีน 30 คนเดินทางมาเที่ยวที่พัทยา ในนามบริษัท ทัวร์หลงไท่ จำกัด ตั้งแต่วันที่ 25 ส.ค.ที่ผ่านมา ปรากฏว่าขณะที่เรือกำลังจะเข้าเทียบท่า หัวเรือโชคสุวรรณี 17 ไปเกี่ยวกับเชือกสมอของเรือเกาะล้านทราเวล 6 ที่จอดอยู่หน้าอ่าว ทำให้เชือกตวัดไปพันกับหัวเรือและใบพัด ทำให้เรือเสียการทรงตัว ถูกเหวี่ยงด้วยความเร็วไปกระแทกกันอย่างรุนแรง นักท่องเที่ยวที่โดยสารมาถูกแรงกระแทกบาดเจ็บ ขณะที่ผู้เสียชีวิตกระเด็นตกน้ำจึงถูกใบพัดเรือฟัน
ขณะเดียวกัน นายพ้อง ชีวานันท์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นทำนองเดียวกันที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเมืองพัทยาได้บูรณาการแก้ปัญหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแต่ก็มาเกิดเหตุขึ้นอีก โดยครั้งนี้ถือว่ารุนแรง เพราะผู้เสียชีวิตเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติถึง 2 คน ทั้งนี้ที่ผ่านมาตนจึงมีแนวคิดจะนำร่องเมืองพัทยาเป็นเมืองโมเดลแก้ปัญหาความปลอดภัยทางทะเลอย่างเป็นระบบ ที่สำคัญคือจิตสำนึก ผู้ประกอบการควรมีจิตสำนึกที่ดีในการให้บริการนักท่องเที่ยวด้วย
ด้านนายศรศักดิ์ แสนสมบัติ อธิบดีกรมเจ้าท่า ลงพื้นที่ตรวจสอบผู้ประกอบการและคนขับเรือสปีดโบ๊ตในพื้นที่เมืองพัทยา จ.ชลบุรี หลังเกิดอุบัติเหตุชนกันบ่อยครั้ง ซึ่งจากการตรวจสอบการบรรทุกผู้โดยสาร ใบอนุญาตขับเรือ ทะเบียนเรือ และมาตรฐานความปลอดภัย พบว่ามีผู้กระทำผิด 12 ราย แบ่งเป็นไม่มีเอกสารประจำเรือ 5 ราย และบรรทุกเกิน 7 ราย ทั้งนี้ ได้เน้นย้ำให้เจ้าหน้าที่เข้มงวดตรวจสอบการควบคุมความเร็วของเรือในการเข้าบริเวณชายหาด และจะประเมินผลทุก 3 เดือน เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้นักท่องเที่ยว
ทีมข่าวเศรษฐกิจ
วันที่ 31/12/2556 เวลา 9:15 น.