แยกวงไล่รัฐบาลม็อบใหม่คปท.ยึดอุรุพงษ์
ตร.เปิดวงจรปิดเร่งล่า มือมืดปาระเบิดเพลิงบนทางด่วนใส่ม็อบอุรุพงษ์ โบ้ยมือที่ 3 สร้างสถานการณ์ ขณะที่ “นายกฯ ปู” ผวาบานปลาย สั่งคง พ.ร.บ.มั่นคง จนกว่าสถานการณ์นิ่ง-นายกฯ จีนกลับ กำชับ ศอ.รส. รปภ.เข้มม็อบ ด้าน “ประชา” อ้างป้องกันมือที่ 3 ยาก อุบขยายพื้นที่ พ.ร.บ.มั่นคงสกัดม็อบถึงแยกอุรุพงษ์ โยนอำนาจ ผบ.ตร. กร้าวห้ามม็อบเฉียดใกล้ทำเนียบอีก ส่วน “ผบ.ตร.” รอประเมินสถานการณ์ขยายพื้นที่มั่นคง วอนม็อบชุมนุมในกรอบ ด้านม็อบอุรุพงษ์ประกาศเอกเทศ ตั้งกลุ่มใหม่ คปท. “นิติธร ล้ำเหลือ” ทนายความพันธมิตรฯ แกนนำ ลั่นปักหลักแยกอุรุพงษ์ยาว โวเป้าระดมมวลชนยกระดับไล่รัฐบาล ส่วน “ปชป.” หวั่นม็อบ กปท.ไร้เอกภาพ คุมมวลชนยาก อัดนายกฯ สองมาตรฐานคุมม็อบ
ป่วนปาระเบิดเพลิงใส่ม็อบ
เมื่อเวลา 02.30 น. ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้ระเบิดเพลิงโยนจากบนทางด่วนศรีรัช ทางลงยมราช เข้าใส่ผู้ชุมนุมที่แยกตัวมาจากกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ที่บริเวณสี่แยกอุรุพงษ์ เข้ามาที่เต็นท์ด้านหลังเวทีปราศรัย เป็นผลทำให้เต็นท์เกิดไฟลุกไหม้บางส่วน โชคดีที่ผู้ชุมนุมและการ์ดได้ดับไฟเอาไว้ได้ทัน จากการตรวจสอบพบว่า คนร้ายได้ทิ้งใบปลิวมีข้อความโจมตีกลุ่มผู้ชุมนุม ก่อนที่จะขับรถยนต์หลบหนีไปทางด้านแยกยมราช ส่วนผู้บาดเจ็บเบื้องต้นมีทั้งหมด 2 ราย คือการ์ดที่เฝ้าพื้นที่ชุมนุม 1 ราย และผู้ชุมนุมถูกเศษแก้วอีก 1 ราย โดยเจ้าหน้าที่นำส่งโรงพยาบาลใกล้เคียง นอกจากนี้ยังส่งผลให้รถแท็กซี่สีส้ม หมายเลขทะเบียน ทร 1679 กทม. ที่จอดไว้บริเวณใต้สะพานลอยได้รับความเสียหายกระจกแตกอีกด้วย
เจ็บเล็กน้อย 2 ราย
ภายหลังเกิดเหตุ พ.ต.อ.ทรงพล วัธนะชัย รอง ผบก.น.1 พ.ต.อ.สมาน รอดกำเนิด ผกก.สน.พญาไท พ.ต.อ.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ ผกก.3 บก.สส.บช.น. พ.ต.ท.กฤษณะ สุกันทะ สว.สส. สน.พญาไท เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สน.พญาไท และเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ได้เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ ทั้งนี้ ที่เกิดเหตุอยู่พื้นถนนบริเวณสี่แยกดังกล่าวฝั่งมุ่งหน้ากรมทางหลวง หน้าทางเข้าเต็นท์ของผู้ชุมนุม เจ้าหน้าที่พบกลิ่นน้ำมันก๊าดคละคลุ้งไปทั่ว และมีร่องรอยไฟไหม้บนผ้ายางปูที่นอนของการ์ดอาสา ซึ่งอยู่ใต้เสาสัญญาไฟจราจร เศษขวดเครื่องดื่มชูกำลังที่แตกละเอียด โดยมีคอขวดที่ติดอยู่กับฝา จำนวน 7 ฝา และขวดที่ยังไม่แตกอีก 1 ขวด ลูกปืนรถยนต์จำนวนนับร้อยลูก และใบปลิวเขียนข้อความด้วยคำหยาบคายอีกหลายสิบใบ กระจัดกระจายไปทั่วถนน และยังมีร่องรอยไฟไหม้บนสะพานลอยคนข้ามแยกดังกล่าวอีก 1 จุด ส่วนด้านในเต็นท์ที่พักผู้ชุมนุมพบถุงพลาสติกใส่หมามุ้ยไว้จำนวนมาก 1 ถุง นอกจากนี้ยังพบรถแท็กซี่โตโยต้า อัลติส สีส้ม หมายเลขทะเบียน ทร 1679 กทม. จอดอยู่ในสภาพกระจกหลังแตกละเอียดทั้งบาน เจ้าหน้าที่จึงเก็บรวบรวมรายละเอียดที่พบทั้งหมดไว้เป็นหลักฐาน ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่พบผู้บาดเจ็บ 1 ราย คือนายภัทราวุฒิ จิระวิบูลย์วรรณ อายุ 38 ปี เป็นการ์ดของกลุ่มผู้ชุมนุม มีบาดแผลถูกเศษแก้วบาดที่หัวแม่โป้งเท้าซ้ายเลือดไหล ต้องทำการปฐมพยาบาลห้ามเลือด เบื้องต้นเจ้าตัวให้การว่า ก่อนเกิดเหตุนั้นกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ในเต็นท์ จากนั้นก็ได้ยินเสียงระเบิดดังกล่าว ก่อนจะมีเสียงคนร้องโวยวาย จึงเดินเท้าเปล่าออกมาสำรวจ ทำให้ไปเหยียบเศษแก้ว
ตร.สั่งเปิดวงจรปิดไล่ล่า
ด้าน พ.ต.อ.ทรงพล กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดเหตุขึ้นมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย แต่ทราบว่าไปรักษาตัวและไม่ได้กลับเข้ามาที่ชุมนุมอีก ซึ่งประสานให้เจ้าตัวเข้ามาแจ้งความและทำการสอบปากคำต่อไป ทั้งนี้หลังเกิดเหตุได้ประสานให้เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานมาเก็บหลักฐานแล้ว เบื้องต้นพบเศษขวดเครื่องดื่มชูกำลังทำเป็นระเบิดเพลิงด้วยการบรรจุน้ำมันก๊าด ใส่ลูกปืนรถยนต์ นอกจากนี้จะประสานให้เจ้าหน้าที่กลุ่มงานเก็บกู้และตรวจพิสูจน์วัตถุระเบิด (อีโอดี) มาตรวจสอบด้วยว่า จะมีเศษดินระเบิดด้วยหรือไม่ สำหรับเรื่องที่ว่าจะเป็นการกระทำของกลุ่มใดนั้นยังไม่สามารถสรุปได้ แต่เบื้องต้นเชื่อว่าน่าจะก่อเหตุจากบนทางด่วนฝั่งมุ่งหน้าไปแจ้งวัฒนะ เนื่องจากพบหลักฐานเป็นลูกปืนและคราบน้ำมันอยู่บนทางด่วนบริเวณดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ได้สั่งให้ทำการตรวจสอบกล้องวงจรปิดโดยรอบบริเวณแยกดังกล่าวเพื่อใช้เป็นเบาะแสในการติดตามตัวคนร้าย นอกจากนี้จะมีการพูดคุยกับทางแกนนำอีกครั้งในการหาสถานที่ที่เหมาะสมในการชุมนุม เนื่องจากบริเวณดังกล่าวนั้นมีผลกระทบกับการจราจรเป็นอย่างมาก
“ปู” สั่งคง พ.ร.บ.มั่นคงฯ
ขณะที่ เมื่อเวลา 09.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี ได้เดินทางเข้าพบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ภายหลังเขาพบ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า นายกฯ ได้สั่งให้คง พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ไว้ก่อนจนกว่าสถานการณ์จะนิ่งและนายกรัฐมนตรีจีนจะเดินทางกลับประเทศ พร้อมกำชับให้ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ดูแลสถานการณ์อย่างใกล้ชิด อย่าให้เกิดเหตุลอบปาระเบิดเหมือนเมื่อคืนวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา ส่วนที่มีผู้ปาระเบิดเพลิงใส่ผู้ชุมนุม ได้มีการสอบถามเจ้าหน้าที่แล้ว ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเรื่องแบบนี้ป้องกันยากเพราะมีทางด่วนอยู่ข้างบน แต่อย่างไรก็ตาม ได้กำชับ ผบ.ตร.ไปแล้วให้ช่วยดูแลเรื่องความปลอดภัยของประชาชนด้วย ทั้งนี้เชื่อว่าเป็นการกระทำของมือที่ 3 ที่สร้างสถานการณ์ ซึ่ง ผบ.ตร.ก็คงต้องไปหาวิธีการป้องกัน ส่วนที่มีข่าวว่าจะมีผู้ชุมนุมทางใต้ขึ้นมาสมทบกับกลุ่มผู้ชุมนุมด้วยนั้น ตนยังไม่ได้รับรายการจากฝ่ายข่าว แต่ขอว่าอย่ามากันเลย ส่วนจะขยายพื้นที่ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ตอนนี้ยังไม่มีการพิจารณา ต้องให้ทางศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) ประเมินสถานการณ์อีกครั้งหนึ่ง แล้วค่อยนำมาสู่การพิจารณาของฝ่ายความมั่นคง และนำเข้า ครม.อีกครั้ง
“ผบ.ตร.” รอประเมินขยายพื้นที่มั่นคง
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เหตุการณ์ลอบวางระเบิด เป็นเพียงระเบิดขวดธรรมดา และมอบหมายให้ทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลตรวจพิสูจน์หลักฐานอยู่ ส่วนจะมีการประกาศขยายพื้นที่พระราชบัญญัติความมั่นคงเพิ่มเติมนอกเหนือจาก 3 เขตคือ ดุสิต ป้อมปราบฯ พระนคร ที่ประกาศไปแล้วหรือไม่ ต้องรอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง โดยจะเน้นบริเวณโดยรอบทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาเช่นเดิม ส่วนพื้นที่ 3 เขตรอบทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภายังคงประกาศใช้พระราชบัญญัติความมั่นคงเช่นเดิม แต่ขณะนี้ประชาชนสามารถสัญจรเส้นทางโดยรอบทำเนียบรัฐบาลได้ตามปกติ กรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมอาจกลับมารวมตัวหน้าทำเนียบหลังวันที่ 13 ต.ค.นี้ ก็สามารถทำได้แต่ขอให้กลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ หรือ กปท. ที่สวนลุมพินี และกลุ่มนักศึกษาอาชีวะพิทักษ์ราชบัลลังก์ รวมถึงมวลชนอื่นๆ ที่สี่แยกอุรุพงษ์ ชุมนุมอย่างสงบ ปราศจากอาวุธ และทำตามกฎหมาย
ม็อบอุรุพงษ์ตั้งกลุ่ม คปท.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการชุมนุมของกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) จำนวนหนึ่งที่บริเวณแยกอุรุพงษ์นั้น ได้มีการยกระดับ โดยตั้งกลุ่มเป็นเอกเทศไม่ขึ้นกับใคร และใช้ชื่อว่า กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย หรือ คปท. โดยมีโครงสร้างหลักจากขบวนการนิสิต นักศึกษา ทั้งนี้ แนวร่วมส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาจาก องค์การนักศึกษา ม.รามคำแหง พรรคสานแสงทอง กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาภาคใต้ เครือข่ายกลุ่มกรีน โดยตามโครงสร้างมีนายอุทัย ยอดมณี นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง เป็นผู้ประสานงานเครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย ส่วนนายนิติธร ล้ำเหลือ ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน เป็นที่ปรึกษาทีมงานพรรคสานแสงทองและกลุ่มกรีน โดยมีเป้าหมายประท้วงกดดันรัฐบาล และเรียกมวลชนที่ไม่พอใจปัญหาค่าครองชีพสูง ราคาพืชผลเกษตรตกต่ำ
ผวาบึ้มซ้ำขึงตาข่ายป้องเวทีปราศรัย
ส่วนบรรยากาศการชุมนุมที่แยกอุรุพงษ์ ล่าสุดหน่วยการ์ดรักษาความปลอดภัยได้นำผืนตาข่ายสีเขียวมาขึงสะพานลอยจนถึงเต็นท์ด้านหลังรถติดเครื่องขยายเสียงที่ดัดแปลงเป็นเวทีปราศรัย เพื่อป้องกันการถูกปาสิ่งของหรือสิ่งอันตราย หลังจากเมื่อเวลา 02.00 น. เกิดเหตุคนร้ายลอบปาระเบิดเพลิงเข้ามาในเต็นท์พื้นที่ชุมนุม จนทำให้มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย ขณะที่บรรยากาศการชุมนุมในช่วงบ่าย ยังมีการปราศรัยจากแกนนำ คปท.สลับกับการแสดงดนตรี โดยมีมวลชนเริ่มทยอยมาร่วมชุมนุมเป็นระยะ ขณะเดียวกันในพื้นที่ห่างจุดชุมนุม 100 เมตร บริเวณแยกอุรุพงษ์ ทาง ถ.พระราม 6 ขาออก เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ตั้งเต็นท์ศูนย์ปฏิบัติการส่วนหน้าอุรุพงษ์ เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยในพื้นที่ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เปิดช่องจราจรจำนวน 2 เลนใน ถ.พระราม 6 ขาออก เพื่อให้รถยนต์ที่จะใช้ ถ.พระราม 6 ขาเข้ามุ่งหน้าแยกตึกชัยใช้เส้นทางนี้แทน
เตรียมแผนสู้ พ.ร.บ.มั่นคงฯ
นายอุทัย ยอดมณี นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ในฐานะผู้ประสานงานกลุ่ม คปท. กล่าวว่า หากรัฐบาลประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในพื้นที่เขตราชเทวีเพิ่มเติม ขณะนี้ทาง คปท.ก็มีการประชุมเพื่อเตรียมมาตรการไว้แล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด โดยจะแจ้งให้ทราบบนเวทีอีกครั้ง และตอนนี้ไม่กังวลต่ออำนาจใดๆ พร้อมจะออกมานำประชาชนอย่างเต็มที่ ส่วนเป้าหมายการชุมนุมนั้น จะปักหลักชุมนุมที่นี้ไปเรื่อยๆ หากรัฐบาลประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าจับกุม ก็ให้มาจับที่นี่ จะไม่มีอารยะขัดขืน เพราะพวกเรายืนยันทำในสิ่งที่ถูกต้อง
“มาร์ค” ห่วงม็อบ กปท. ไร้เอกภาพ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเจรจากับกลุ่มผู้ชุมนุม โดยขอให้เคารพสิทธิ์ในการชุมนุม ส่วนจะมีการประกาศพื้นที่ พ.ร.บ.ความมั่นคงเพิ่มเติมหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของรัฐบาลว่ามีความจำเป็นมากน้อยเพียงใด พร้อมแสดงความเป็นห่วง กับการที่ไม่มีแกนนำที่ชัดเจน ก็จะทำให้การควบคุมการชุมนุมเป็นไปได้ยาก ดังนั้นอยากให้เกิดการเจรจามากกว่า ซึ่งเมื่อวานที่ผ่านมา ส่วนตัวเชื่อว่าน่าจะเจรจายุติแล้ว แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจของทั้งหมด จึงทำให้มีมวลชนบางส่วนยังชุมนุมอยู่ที่แยกอุรุพงษ์ จึงอยากให้รัฐบาลปฏิบัติให้เสมอภาค เช่นเดียวกลุ่มผู้ชุมนุมที่สนับสนุนรัฐบาลหน้าองค์กรอิสระ ที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่ดำเนินการใดๆ ตนเชื่อว่าเจรจาคุยกับผู้ชุมนุม จัดการกันก็น่าจะเรียบร้อย ก็ไปเจรจาแล้วก็เหมือนกับว่าตกลงกันได้ก็จริงแต่สุดท้ายรู้สึกว่าจะมีปัญหาว่าบางกลุ่มเขาไม่เห็นด้วย พอเขาไม่เห็นด้วย เขาก็เลยปักหลักอยู่กันต่อ หรือว่าย้ายไปชุมนุมที่อื่น หรือว่าอะไรก็ตาม ก็เลยเป็นประเด็นขึ้นมา จึงต้องระมัดระวัง เพราะว่าขณะนี้ก็เท่ากับว่ายังมีการชุมนุมอยู่ ก็อยากจะให้ทางเจ้าหน้าที่กับทางผู้ชุมนุมนั้นมีการเคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกันอย่างที่ว่า แล้วก็หวังว่าไม่มีอะไรที่จะรุนแรง ต่อไปนี้การชุมนุมอะไรต่างๆ ก็ต้องเรียกว่าเข้มงวดกวดขันกัน ก็ต้องบอกว่ากรณีของทางกลุ่มคนเสื้อแดง รวมทั้งที่ชุมนุมที่ศาล โดยเฉพาะที่ชุมนุมที่ศาลนั้น แล้วศาลก็มีหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ไม่ควรจะอยู่ภายใต้การกดดัน ก็สมควรที่จะต้องมีการดูแลเช่นเดียวกัน ในทำนองเดียวกัน เจ้าหน้าที่ก็ควรที่จะต้องพูดกันทุกกลุ่ม เวลากลุ่มคนเสื้อแดงมาตั้งเวทีอยู่หน้าสภา ก็ไม่เห็นทางเจ้าหน้าที่จะดำเนินการอะไรอย่างนี้เลย ก็อยากให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ปชป.อัดนายกฯ ดูม็อบสองมาตรฐาน
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า สถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ แสดงให้เห็นว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไม่ได้เป็นนายกฯ ของคนทั้งประเทศ แต่เป็นนายกฯ ของคนเสื้อแดงเท่านั้น โดยดูจาก 1.การดูแลผู้ชุมนุมกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ (กปท.) ที่ชุมนุมโดยสงบ แต่กลับประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคง ดำเนินการเป็น 2 มาตรฐานหากเทียบกับการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง 2.การใช้อำนาจในทางที่ผิด กรณีที่อัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาก่อการร้าย ทั้งที่มีคำสั่งฟ้องผู้ต้องหาที่เหลือทั้งหมด อีกทั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ระบุคงไม่ทำความเห็นแย้งกับคดีนี้อีก จะทำให้คดีเป็นที่สิ้นสุด พ.ต.ท.ทักษิณ จะหลุดพ้นจากคดีก่อการร้าย ในทางกลับกัน อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้องบริษัทรับเหมาสร้างโรงพักทั่วประเทศ แต่ดีเอสไอระบุว่าจะทำความเห็นแย้ง เพราะคาดว่าหากดำเนินการไปถึงผู้รับเหมาได้ ก็จะสามารถดำเนินการย้อนกลับไปยังรัฐบาลชุดที่แล้วได้ จึงถือว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐดูแลพวกเดียวกันเองแต่ไปกลั่นแกล้งผู้อื่น ใช้กฎหมายเอื้อประโยชน์พวกพ้อง คาดว่าต่อไปคงจะมีการสั่งฟ้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ส.ส.สุราษฎร์ธานี พรรคประชาธิปัตย์ ในคดีต่างๆ แต่พวกตนไม่กลัว เพราะขณะนี้รัฐบาลกดขี่ข่มเหงจนคนไทยเปลี่ยนความกลัวเป็นความกล้าไปแล้ว 3.รัฐบาลบริหารราชการแผ่นดินจนทำให้ประเทศตกอยู่ในภาวะถังแตก ผลาญภาษีผ่านนโยบายประชานิยม สะท้อนได้จากการที่รัฐบาลไทยและจีนเตรียมลงนามใน MOU ก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ในลักษณะบาเตอร์เทรด เป็นการเอาข้าวไทยไปแลกกับการสร้างรถไฟ หากเป็นเช่นนี้แล้วทำไมจะต้องกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ถ้าคิดว่าจะใช้การแลกเปลี่ยนสินค้า
“แม้ว” โวหนีคุกมา ตปท.ไม่เสียเวลา
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์เฟซบุ๊ค ระบุบางตอนว่า การที่ต้องมาลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ไม่ยอมให้เสียเวลาโดยสูญเปล่า นั่งเศร้าสร้อยเครียดอยู่คงไม่เกิดประโยชน์อะไร เลยต้องเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยการใช้เวลาเรียนรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในโลกนี้ได้อย่างใกล้ชิดเข้าถึงให้มากที่สุด แล้วก็หันมามองเมืองไทย เพื่อจะทำทุกอย่างให้เกิดประโยชน์กับประเทศไทย และจะใช้โอกาสนี้สร้างเครือข่ายเพื่อนๆ ทั้งระดับเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ตลอดจนด้านวิชาการให้ได้มากที่สุด และจะทยอยแลกเปลี่ยนกับคนไทยผ่านเฟซบุ๊ค โดยในวันที่ 15 ต.ค. จะไปพูดเรื่องความเป็นหนึ่งเดียวของเอเชีย ซึ่งตอนนี้ก็มีการพูดถึงมากขึ้น เพราะเอเชียเป็นพื้นที่การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกอยู่ในขณะนี้ วันนี้จีนได้พัฒนาไปมากและเร็วกว่าที่ทุกคนจะคิด ที่เป็นเช่นนี้เพราะจีนเป็นประเทศที่มียุทธศาสตร์ ในการก้าวเดินตลอดเวลา มีการใช้ระบบที่เรียกว่าหลักของการแบ่งงานกันทำ มาประยุกต์เข้ากับกาลสมัย เขามีโครงสร้างของพรรคคู่ขนานกับโครงสร้างของการบริหาร โดยให้โครงสร้างของพรรคทำหน้าที่กำหนดและควบคุมนโยบายและยุทธศาสตร์ มาจีนคราวนี้ได้รับเชิญให้ไปพบระดับสูงมาหลายครั้ง เพื่อเพิ่มพูนความสัมพันธ์ ไทย-จีน และอาเซียน-จีน
“จุลสิงห์” แจงเหตุไม่ฟ้องทักษิณ
วันเดียวกัน ที่รัฐสภามีการประชุมคณะอนุกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชน สภาผู้แทนราษฎร ได้เชิญนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อดีตอัยการสูงสุด มาชี้แจงเรื่องคดีเงินบริจาคพรรคการเมือง ทั้งนี้ระหว่างการประชุมช่วงหนึ่ง กรรมาธิการฯ ซักถามนายจุลสิงห์ ถึงเหตุผลที่สั่งไม่ฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีก่อการร้าย ซึ่งนายจุลสิงห์ ชี้แจงว่ารัฐธรรมนูญให้ศาลกับอัยการมีอิสระในการสั่งคดีและปฏิบัติหน้าที่ ต่อให้อีกร้อยคนพันคนไม่เห็นด้วย ถ้ามีการสั่งยุติคดีเรื่องก็ต้องจบ เรื่องก่อการร้ายถ้าผู้ทำผิดไม่อยู่ในประเทศไทย โอกาสยากมากที่จะบอกว่า เป็นตัวการร่วม กำลังของคนที่พูดอยู่ต่างประเทศ ไม่มีโอกาสเป็นตัวการร่วมได้เลยในทางทฤษฎีและในความเห็นของอัยการด้วย เรื่องนี้เป็นความผิดนอกราชอาณาจักร อยู่นอกเหนืออำนาจอัยการสูงสุดที่จะพิจารณา “ถ้าประธานไปตะโกนอยู่ต่างประเทศ แต่ถ้าคนในประเทศไม่ทำ ก็คือไม่ทำ เรามองอย่างนั้น ผมมีมาตรฐาน ถ้าผิดจริงไม่เหลือ”
อ้างอยู่ข้างความเป็นธรรม
นายจุลสิงห์ กล่าวต่อว่า ตนถูกกล่าวหาว่าอยู่ฝ่ายนั้น ฝ่ายนี้ เพราะมีทั้งฝ่ายที่อยากให้ฟ้องและไม่ให้ฟ้อง แต่อัยการอยู่ข้างความเป็นธรรม ตนเป็นผู้สั่งฟ้องคดีก่อการร้ายในประเทศ เพราะเขาทำในประเทศก็ต้องฟ้องในประเทศ ตนทำตามมาตรฐานที่ควรเป็นมีเหตุผลอธิบายได้ เมื่อกรรมาธิการถามว่า คำว่าก่อความไม่สงบกับก่อการร้ายแตกต่างกันอย่างไร นายจุลสิงห์ชี้แจงว่า ประมวลกฎหมายอาญา ความผิดฐานก่อการร้ายมีตั้งแต่ ลักวิ่งชิงปล้นไปถึงการข่มขู่รัฐบาล ส่วนการก่อความไม่สงบ พฤติกรรมคล้ายๆ กัน แต่เรื่องอุดมการณ์การเมืองภายในประเทศน่าจะเป็นเรื่องการก่อความไม่สงบ เพราะมีความเห็นไม่ตรงกับรัฐบาล แก้ได้ด้วยความเข้าใจ แต่ไม่ใช่เรื่องการก่อการร้ายในลักษณะที่ไปเอาเงิน เรียกค่าไถ่ แล้วข่มขู่รัฐบาลให้ปล่อยตัวคนหรือเรียกเงินคือก่อการร้าย ดังนั้นอัยการจึงสั่งไม่ฟ้องในฐานก่อการร้าย เพราะคิดว่าผู้เกี่ยวข้องมีหน้าที่ต้องอธิบายทำความเข้าใจ เป็นเรื่องที่คุยกันได้ ประชาธิปไตยเป็นเรื่องตัดสินด้วยเสียงส่วนใหญ่ เสียงส่วนน้อยก็รอไป
นายกฯ จีนเยือนสภาไทย
วันเดียวกัน เมื่อเวลา 15.30 น. ที่รัฐสภา นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ให้การต้อนรับ นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการในฐานะแขกของรัฐบาล ระหว่างวันที่ 11-13 ต.ค. โดยเมื่อเดินทางมาถึงที่อาคารรัฐสภา มีข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐสภา โบกธงให้การต้อนรับ จากนั้นนายกรัฐมนตรีสาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมคณะ ได้ทำพิธีวางพวงมาลา ณ พระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 และลงนามในสมุดเยี่ยมเยือนรัฐสภาไทยจากนั้นเวลา 16.15 น. นายหลี่ เค่อเฉียง ได้เข้าร่วมประชุมรัฐสภา พบปะกับสมาชิกรัฐสภาไทย ซึ่งต้อนรับอย่างอบอุ่นพร้อมกล่าวสุนทรพจน์ ซึ่งถือเป็นผู้นำประเทศคนแรกที่กล่าวสุนทรพจน์ในห้องประชุมรัฐสภาไทย ตอนหนึ่งว่า ไทยและจีนมีภูมิประเทศและวัฒนธรรมใกล้เคียงกันทำให้เราใกล้ชิดแน่นแฟ้นมีมูลค่าทางการค้า 7 หมื่นล้านยูเอสดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 8 เท่าและไทยเป็นประเทศคู่ค้าทางการเกษตรยางพาราที่สำคัญ และในอาเซียนไทยเป็นประเทศแรกที่มีสนธิสัญญาความร่วมมือและเป็นคู่แรกที่มีการทำการค้า ภาษีอากร การเกษตร และสร้างศูนย์วัฒนธรรมจีน-ไทยและเชื่อว่ายังมีหลายโครงการมากมากที่ยากจะบรรยาย ภายใน 5 ปี จีนจะนำเข้าข้าวไทย 1 ล้านตัน และจะขยายมากขึ้น และจีนจะนำเข้ายางพารามากขึ้น และจะสร้างกลไกทางการจัดการที่สำคัญเพื่อความร่วมมือทางสินค้าเกษตรมากขึ้น พร้อมเสนอให้สร้างธนาคาร ที่จะสามารถใช้เงินตราระหว่างประเทศชำระหนี้ และสร้างสิ่งอุปโภคบริโภคได้ และหวังว่านายกรัฐมนตรีไทยจะร่วมหารือตกลงความร่วมมือโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงเป็นรูปธรรมกับจีน
วันที่ 12/10/2556 เวลา 7:11 น.