เจาะยุทธศาสตร์ขายตรง
ความตื่นตัวของธุรกิจขายตรงเมื่อต้องนับถอยหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ยิ่งทวีความเข้มข้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศเวียดนาม ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์ของภาคธุรกิจขายตรงก็ว่าได้ เพราะนอกจากเวียดนามจะเป็นประเทศที่มีเขตแดนติดกับเพื่อนในอาเซียนอย่างกัมพูชาและลาวแล้ว ยังมีพื้นที่ติดกับยักษ์ใหญ่อย่างจีนอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจที่มีผู้เข้าไปจับจองพื้นที่ขยายตลาดในประเทศนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อดูจำนวนประชากรกว่า 90 ล้านคน มี 57% ซึ่งเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ดังนั้นโอกาสของธุรกิจขายตรงในเวียดนามจึงเหมือนขุมทรัพย์มูลค่ามหาศาลเลยทีเดียว
Ms.Tram Ha Chairwoman นายกสมาคมการขายตรงเวียดนาม เผยว่า อัตราการเติบโตของธุรกิจขายตรงในเวียดนามตั้งแต่ปี 2006-2011 มีอัตราการเติบโตเป็นที่พอใจ แต่หลังจากปี 2011 เป็นต้นไป เริ่มพบว่าธุรกิจขายตรงมีอัตราการเติบโตเพียงเล็กน้อยเพราะถึงแม้ธุรกิจขายตรงในเวียดนามค่อนข้างมีศักยภาพที่สูงมาก แต่ในขณะเดียวกันกฎหมายขายตรงในเวียดนามก็มีความเข้มงวดมากด้วยเช่นกัน ดังนั้นสมาคมฯ จึงต้องการสร้างภาพพจน์ของธุรกิจขายตรงเวียดนามให้ดีอีกครั้งด้วยการให้ความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจขายตรงแก่คนหนุ่มสาวที่มีระดับการศึกษาสูงเพิ่มมากขึ้น
ล่าสุดมีการร่างกฎหมายขายตรงเวียดนามขึ้น โดยทิศทางของกฎหมายใหม่นี้จะให้เกิดขึ้นในช่วงปลายปี 2013 และสามารถนำมาปฏิบัติได้จริงในปี 2014 โดยร่างกฎหมายฉบับแรกได้สำเร็จไปแล้ว ส่วนการร่างกฎหมายฉบับอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการต่ออายุใบอนุญาต ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณา ซึ่งคาดว่าอีกไม่นาน น่าที่จะมีข้อสรุปที่แน่นอน
จากมูลค่าตลาดขายตรงของเวียดนามกว่า 8,500 ล้านบาท เติบโตขึ้น 12% มากเป็นอันดับ 13 ของโลก ขณะที่การเติบโตในภูมิภาคอาเซียนด้วยกัน เวียดนามมาเป็นอันดับ 2 ปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนธุรกิจขายตรงในเวียดนาม 54 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทท้องถิ่น 83% และบริษัทต่างชาติ 17% โดยที่ผ่านมานักลงทุนที่จะเข้ามาเปิดธุรกิจขายตรงในเวียดนามนั้นจะต้องใช้ระยะเวลานานถึง 2 ปี กว่าที่จะได้รับใบอนุญาตการลงทุน หนึ่งในนั้นคือ “นูสกิน” โดยทีมงานของนูสกินไทยด้วยการตั้งสำนักงานที่โฮจิมินห์ เริ่มดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2555 และถือเป็นประเทศที่ 53 ของนูสกินทั่วโลก และเป็นตลาดที่ 7 ในกลุ่มประเทศอาเซียนนี้ (ประเทศที่ยังไม่ได้ขยายเข้าไปคือกัมพูชา พม่า ลาว) ที่ผ่านมาเกือบ 1 ปีได้รับความสำเร็จอย่างมาก โดยมียอดขายสิ้นปีที่แล้วประมาณ 200 ล้านบาท
นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นูสกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดขายตรงเวียดนามเติบโตอย่างมาก แต่ยังเป็นช่วงการเปิดตลาดใหม่ของบริษัทขายตรง จากการสำรวจฐานตลาดของเวียดนามพบว่ามีกลุ่มคนรุ่นใหม่กว่า 57% ซึ่งคนกลุ่มนี้ต้องการโอกาสทำธุรกิจตัวเอง หาโอกาสทางการทำงานใหม่ๆ และจากการศึกษาก็พบอีกว่าคนเวียดนามมีความนิยมสินค้าที่มีแบรนด์ที่บ่งบอกถึงคุณภาพ แม้ว่ายังมีค่าแรงถูก แต่ผู้คนใฝ่หาโอกาสที่ดีในชีวิตจึงมีโอกาสมากที่บริษัทจะขยายฐานได้
“ตลาดขายตรงเวียดนามมีสัดส่วนการเติบโตของผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ส่วนแบ่ง 59% ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรือสกินแคร์ 31% และกลุ่มโฮมแคร์ 10% ขณะที่พฤติกรรมผู้บริโภคคนเวียดนามชอบสินค้าแบรนด์เนมเรื่องความสะดวกสบาย 75% และเลือกสุขภาพปลอดภัย ดังนั้นเวียดนามถือเป็นตลาดที่น่าสนใจและมีแนวโน้มเติบโตอย่างมากในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน”
สำหรับเป้าหมายของนูสกินเวียดนาม คาดว่าสิ้นปี 2556 จะมียอดขายกว่า 450 ล้านบาท มีสมาชิกกว่า 30,000 รหัส นอกจากนี้ยังมีแผนขยายสาขาให้ครอบคลุมพื้นที่ทั้งเหนือ กลาง ใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เมืองดานัง มีแผนจะขยายตลาดในปีหน้า ส่วนสาขาที่มีอยู่ในปัจจุบันคือทีเมืองโฮจิมินห์และฮานอย
“วิธีการดันยอดสมาชิก สิ่งที่สำคัญต้องทำให้คนที่นี่เห็นว่าธุรกิจขายตรงสามารถตอบโจทย์ความต้องการเขาได้ คนที่นี่หลังเลิกงานไปเรียนพิเศษเพิ่ม ตอนนี้เป็นเทรนด์ ถ้าไม่เรียน ความสามารถจะน้อยกว่าที่อื่น คนที่นี่ขยัน ภาษาอังกฤษใช้ได้เลย แน่นอนว่าเราต้องทำให้คนที่นี่สำเร็จ ถ้ามีคนสำเร็จ คนอื่นจะเข้ามาทำธุรกิจเหมือนกัน ดังนั้นเราต้องช่วยให้ผู้จำหน่ายเวียดนามทำธุรกิจได้โดยไม่มีปัญหา” นางภคพรรณ กล่าว
สุภพงษ์ เทียนสี/รายงาน
วันที่ 10/10/2556 เวลา 6:40 น.