แฉคลิปเด็ด ล้มแก้รธน.

สส.กดบัตรแทน ยื่นศาลผิดม.122

“นายกฯ ปู” จ้อผลงานรัฐบาล 1 ปี อ้างเผชิญปัญหา-ท้าทายทุกด้าน ทั้งการเมือง-สังคม-อุทกภัย-เศรษฐกิจ ฟุ้งแต่ผ่านมาได้ คุยโวสร้างความเชื่อมั่น ศก. ทำชาติเข้มแข็ง ยกระดับรายได้ ปชช. ลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม ย้ำบินนอกบ่อยกระชับสัมพันธ์ ตปท. ขณะที่ “มาร์ค” ซัดประชานิยมเพิ่มหนี้ จี้ทบทวน ชี้ติดลบทุกด้าน ฉะทำเศรษฐกิจถดถอย ค่าครองชีพสูงลิ่ว เพิ่มหนี้ ปชช. สินค้าเกษตรตกต่ำ ด้าน “เหลิม-โต้ง” ปากมันเย้ยไทยเข้มแข็ง ปชป. ของเก่าเล่าใหม่ หยันเคยแพ้ราบคาบ กู้ 2 ล้าน ล.มาแล้ว หยาม “เสิ่นเจิ้นโมเดล 2020” ก็อปปี้ทุกเรื่อง ทั้งเนื้อหา-โลโก้ ส่วน “ปชป.” สวน พท.ลอกโครงการมาทั้งดุ้น อ้างเริ่มต้นสมัยรัฐบาลมาร์ค แต่สะดุดยุคปู คุยฟุ้งสุดเจ๋ง พัฒนาอย่างสมดุลรอบด้าน

“นายกฯ ปู” โอ่ผลงานรัฐบาล 1 ปี

วันที่ 24 ก.ย. ที่รัฐสภา เวลา 14.10 น. มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรเป็นพิเศษ เพื่อพิจารณารับทราบรายงานผลการดำเนินการของคณะรัฐมนตรีตามแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐของรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ปีที่ 1 ระหว่างวันที่ 23 สค.54-23 ส.ค.55 โดยมีนายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ รองประธานสภา เป็นประธานการประชุม โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวรายงานผลการดำเนินงานวาระครบรอบ 1 ปี ว่า ตั้งแต่ที่รัฐบาลได้รับเลือกให้เข้ามาบริหารประเทศ และได้มีการแถลงนโยบายต่อสภาฯ เมื่อวันที่ 3 ส.ค.54 รัฐบาลได้ยึดหลักการปฏิบัติหน้าที่ 3 เป้าหมายหลัก คือ 1.เศรษฐกิจสมดุลเพื่อความเข้มแข็งของประเทศ, 2.สร้างความเชื่อมั่นสู่สังคมที่ปรองดอง บนหลักของความเสมอภาคและเท่าเทียม และ 3.การเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ทั้งนี้รัฐบาลถือว่าการเข้ามาบริหารประเทศมีความท้าทายอย่างยิ่ง ทั้งนี้เมื่อพิจารณาจากจีดีพีของประเทศ พบว่ามีการพึ่งพาการส่งออกมากถึงร้อยละ 70 ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาและปรับปรุงเพื่อให้เกิดความสมดุลของเศรษฐกิจที่เข้มแข็ง เมื่อดูจากรายได้ของประชาชน เมื่อเทียบกับผู้มีรายได้น้อยและรายได้สูง พบว่ามีช่องว่างสูงมาก และประชาชนมีหนี้ต่อครัวเรือนที่สูง ดังนั้นสิ่งที่ภาครัฐไปช่วยเหลือคือ การให้ประชาชนเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่มีต้นทุนถูก เพื่อลดการใช้จ่าย ขณะนั้นได้มีปัญหายาเสพติด ทำให้รัฐบาลต้องร่วมมือกับภาคส่วนอื่น ยกระดับให้เป็นปัญหาระดับชาติ ส่วนความเหลื่อมล้ำทางสังคม ถือเป็นความท้าทายของรัฐบาลที่ต้องเข้าไปแก้ไขโดยเฉพาะในจังหวัดที่อยู่ห่างไกล ส่วนความผันผวนทางการเมือง ที่มีการเปลี่ยนการบริหารบ่อยทำให้ขาดการต่อเนื่องของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศนานถึง 7 ปี ดังนั้นรัฐบาลจึงต้องเข้ามาพัฒนาให้เกิดความต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม ความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่มีความซับซ้อน และการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีความซับซ้อน รวมถึงการคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สุขภาวะของประชาชน การใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวันมากขึ้น เป็นสิ่งที่รัฐบาลคำนึงว่าเป็นความท้าทายในการบริหารประเทศที่ต้องนำมาพิจาณา และที่สำคัญการเปลี่ยนแปลงในปี 2558 ที่จะเกิดการรวมกลุ่มเป็นกลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเป็นสิ่งที่รัฐบาลมองว่าเป็นความท้าทายตั้งแต่การบริหารในปีแรก

โวทำ ศก.ชาติเข้มแข็ง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวอีกว่า ในปีแรกของการเข้ามาบริหารประเทศ รัฐบาลได้เผชิญกับปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ โดยรัฐบาลได้มีการดูแล รวมถึงมีการออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน จำนวน 3.5 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม รวมถึงตัดสินใจลดงบประมาณรายจ่ายประจำปีของกระทรวงต่างๆ เพื่อนำเงินมาใช้ในการเยียวยาและดูแลความเสียหายที่เกิดขึ้นกับประชาชนและภาครัฐ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวได้สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และป้องกันไม่ให้นักลงทุนย้ายฐานการผลิตได้ และด้วยความร่วมมือร่วมใจทำให้รัฐบาลผ่านวิกฤตไปได้ และตัวเลขของจีดีพี ในปี 54 ที่ถอยลงกว่าร้อยละ 8-9 แต่ในปี 55 จีดีพีของประเทศกลับมาอยู่ในระดับร้อยละ 6 ซึ่งการสร้างความเชื่อมั่น ทำให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ เศรษฐกิจมีความเข้มแข็ง รวมถึงการเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์กับต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในกลุ่มเออีซี ทำให้พบว่ามีการเพิ่มยอดของนักท่องเที่ยว การค้า การลงทุนในประเทศให้สูงขึ้น สำหรับการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ คือ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ รวมถึงเรียกความเชื่อมั่นของประเทศในสายตาของต่างประเทศทั้งในด้านเศรษฐกิจ การค้า

“โต้ง” ฟุ้ง ศก.ขยายตัวต่อเนื่อง

ด้านนายกิตติรัตน์ ณ ระรอง รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยดำเนินงบประมาณแบบขาดดุลมาตลอดต่อเนื่อง เพราะมีปัญหาความผันผวนทางเศรษฐกิจ แต่ในรัฐบาลชุดปัจจุบันสามารถบริหารจัดการงบประมาณจนตัวเลขขาดดุลงบประมาณลดลงอย่างต่อเนื่อง เช่น ในปีงบประมาณ 2556 มีการขาดดุล 3 แสนล้านบาท จากเดิมมีถึง 4 แสนล้านบาท โดยในปีงบประมาณ 2557 ตัวเลขขาดดุลจะอยู่ 2.5 แสนล้านบาทเท่านั้น เช่นเดียวกับตัวเลขหนี้สาธารณะ รัฐบาลสามารถจัดการได้เพื่อไม่ให้เกิน 50% ของจีดีพี และทำให้ลดลงอย่างต่อเนื่องในปี 2560 ทั้งนี้รัฐบาลชุดนี้ได้ยึดมั่นในการบริหารเศรษฐกิจใน 4 ด้าน คือ การเพิ่มรายได้ การลดรายจ่าย การขยายโอกาส และสร้างรากฐานในอนาคต ในด้านการเพิ่มรายได้ รัฐบาลยอมรับว่าการส่งออกขณะนี้มีปัญหา แต่ได้ใช้การส่งเสริมการท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันมีจำนวนนักท่องเที่ยวถึง 22 ล้านคน จากเดิม 20 ล้านคน และมั่นใจว่าในอนาคตจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ด้านการลดรายจ่าย รัฐบาลได้ลดการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เพื่อช่วยลดราคาน้ำมันดิบ และลดการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตดีเซลเพื่อรักษาระดับราคาพลังงานไม่ให้กระทบต่อประชาชน ด้านการขยายโอกาส รัฐบาลได้ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขัน รวมไปถึงการเปิดโอกาสให้ประชาชนมีสินทรัพย์ที่จำเป็นในชีวิตผ่านโครงการบ้านหลังแรกและรถคันแรกเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น และด้านการสร้างรากฐานในอนาคต รัฐบาลได้สร้างความเชื่อมั่นได้ภายหลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม โดยสะท้อนได้จากตัวเลขการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญรัฐบาลกำลังลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมในหลายเส้นทาง จีดีพีของประเทศที่มีความผันผวนก่อนหน้านั้นเกิดจากภาวะเศรษฐกิจ แต่เมื่อรัฐบาลชุดนี้ได้เข้ามาบริหารประเทศตั้งแต่ปี 2554 และเผชิญกับอุทกภัย ปรากฏว่าเศรษฐกิจของประเทศติดลบเพียงไตรมาสเดียว แต่นับจากนั้นรัฐบาลสามารถบริหารเศรษฐกิจให้มีการขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง

“มาร์ค” ซัดประชานิยมเพิ่มหนี้

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า ภาพรวมการแข่งขันและเศรษฐกิจของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่องนับจากปี 53 เป็นต้นมา โดยเฉพาะไตรมาสสุดท้ายของปี 56 ที่อัตราเติบโตทางเศรษฐกิจติดลบ ขณะที่มาตรการเร่งด่วนของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน เป็นการเพิ่มค่าครองชีพให้เพิ่มสูงขึ้น ทั้งอาหาร เชื้อเพลิง ก๊าซหุงต้ม รวมถึงค่าไฟฟ้า สินค้าเกษตรตกต่ำ โดยเฉพาะราคายางพารา จนเกิดการชุมนุมประท้วง ส่วนโครงการรับจำนำข้าวส่งผลกระทบต่อราคาตลาด และเห็นว่านโยบายประชานิยมเป็นการเพิ่มหนี้และทำลายวินัยทางการคลังของประเทศ ทั้งนี้ ขอเรียกร้องให้รัฐบาลมีการทบทวนการดำเนินนโยบาย ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง การแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ การบริการจัดการน้ำ เพราะตัวเลขทางเศรษฐกิจด้านต่างๆ มีการปรับลดลงเกือบทุกด้าน พร้อมทั้งขอให้รัฐให้ความสำคัญด้านการศึกษามากขึ้น อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขที่หน่วยงานต่างๆ ประเมินไว้ตามที่ได้กล่าวไปแล้ว รัฐบาลนี้ต้องทบทวนว่า นโยบายประชานิยมไม่ทำงาน ไม่ได้เพิ่มความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ แต่เพิ่มความเสี่ยงวินัยการเงินการคลัง เพิ่มการสะสมหนี้ ตนคิดว่าการทบทวนแนวทางตรงนี้ ทำอย่างไรให้ก้าวข้ามประชานิยม และวางรากฐานในความจำเป็นของการปรับโครงโครงสร้างที่เกี่ยวกับสถาบันทางเศรษฐกิจ

“เหลิม” เย้ยผลงานเก่าแพ้กู้ 2 ล้าน ล.

ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ เปิดตัวแผนการลงทุน “อนาคตที่เลือกได้ อนาคตไทยเข้มแข็ง 2020” นั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน กล่าวว่า เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของพรรคประชาธิปัตย์ แทนที่วันนี้จะวิพากษ์วิจารณ์ผลงานรัฐบาล โดยเฉพาะ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท แต่กลับเอาผลงานตัวเองที่แพ้ราบคาบแล้วมาเสนอ มีการกู้ไปแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ได้กู้ และสมเพชอดีตรัฐมนตรีบางคนที่ออกมาโจมตีการทุจริตรัฐบาลชุดนี้ ทั้งที่ตัวเองไปทุจริตโครงการอาชีวะ การสร้างโรงพัก 8-9 พันล้านบาท การสร้างแฟลตตำรวจอีก 5 พันล้านบาท จนคนเป็นที่เป็นรองนายกรัฐมนตรีต้องลาออกหนีไปเป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปรับอีกทีก็มาเป็นเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อย่างกรณียกคำร้องคดีการบริจาคเงิน 258 ล้านบาทของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่เสนอยุบเพราะเสนอในนามประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ไม่ได้เสนอในนามพรรคนายทะเบียนพรรคการเมือง ทำไมไม่เสนอในนามนายทะเบียนพรรคการเมืองไปเก็บไว้ทำไม ไม่อย่างนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็ถูกยุบไปแล้ว ส่วนเรื่องการแต่งตั้งปลัดกระทรวงแรงงานคนใหม่นั้น ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่รีบร้อน และไม่จำเป็นต้องเสนอเข้า ครม.ภายในสัปดาห์นี้ หรือสัปดาห์หน้า แต่จะเสนอแต่งตั้งเมื่อไหร่ก็ได้ โดยคนที่จะมาดำรงตำแหน่งจะต้องมีศักยภาพ และต้องผ่านการทดสอบใน 3 เรื่อง คือ 1.ผ่านการแสดงวิสัยทัศน์ 2.การแก้ไขปัญหายาเสพติด และ 3.ต้องไม่เอาเปรียบแรงงาน และที่สำคัญต้องเป็นคนภายในกระทรวง จะเอาคนนอกข้ามห้วยมาไม่ได้ ข้าราชการกระทรวงแรงงานคงไม่พอใจ ซึ่งเรื่องนี้นายกรัฐมนตรีให้อิสระตนในการตัดสินใจ

“โต้ง” ตอกการลงทุนต้องกู้

นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง กล่าวว่า ที่พรรคประชาธิปัตย์เปิดแผนโครงการ สร้างอนาคตไทยเข้มแข็ง 2020 เป็นเรื่องที่ดี ที่มีแนวคิดจากพรรคการเมืองสำคัญในการพัฒนาประเทศและรัฐบาลก็จะรับข้อเสนอดังกล่าวไว้พิจารณาด้วย เพราะไม่ได้เป็นสิ่งใหม่ เพียงแต่มีการนำเสนอที่ชัดเจนมากขึ้น ซึ่งเป็นเจตนาที่ดีที่จะมีการเทียบเคียงกับเงินกู้ 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาล แต่มีข้อสงสัยว่าก่อนที่รัฐบาลจะมีแนวทางเรื่องนี้ก็ไม่เห็นพรรคการเมืองดังกล่าวจะมีแนวทางอะไร ขณะที่หลักการจะลงทุนโดยไม่ใช้เงินกู้ แต่จะใช้งบประมาณประจำปี ก็ทราบดีว่าในระบบงบประมาณที่ใช้ปกติขาดดุลอยู่แล้ว มีรายจ่ายมากกว่ารายรับ และกระบวนการที่รัฐบาลทำอยู่สามารถลดความแตกต่างของรายจ่ายกับรายรับได้มากพอสมควร หากจะมีการลงทุนอะไรใหม่โดยใช้งบประมาณประจำปีก็หนีไม่พ้นการกู้เงินเพื่อนำมาชดเชยการลงทุน ดังนั้นความพยายามจะสื่อสารว่าจะใช้งบประมาณประจำปีเป็นการสื่อสารที่ไม่ถูกต้อง เพราะการลงทุนในขณะที่งบประมาณขาดดุลก็ต้องกู้ ตนได้ดูตารางแผนงานเปรียบเทียบกับโครงการของรัฐบาล ก็ยอมรับว่าแผนงานของรัฐบาลในเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ไม่ได้มีการพัฒนาเรื่อการศึกษาและสาธารณสุข แต่เป็นเรื่องระบบขนส่งเพียงอย่างเดียว เพราะเรื่องการศึกษาและสาธารณสุข รวมทั้งด้านสังคมจะใช้งบประมาณประจำปีดูแลอย่างเต็มที่อยู่แล้ว อีกทั้งไม่ต้องนำเงินในงบประมาณประจำปีมาดูแลระบบขนส่ง อย่างไรก็ตาม ขอให้ผู้ที่ติดตามข้อมูลใช้วิจารณญาณว่าการลงทุนเพิ่ม โดยใช้งบประมาณประจำปีเป็นไปได้จริงหรือไม่ สำหรับการลงทุนร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน จะเกิดขึ้นได้เมื่อมีรายรับทางการเงินที่คุ้มค่า

พท.หยาม “เสิ่นเจิ้นโมเดล 2020”

นายสมคิด เชื้อคง ส.ส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า โครงการสร้างอนาคตไทยเข้มแข็ง 2020 ของพรรคประชาธิปัตย์นั้น ตนมองเป็น เสิ่นเจิ้นโมเดล 2020 เพราะก๊อบปี้ทุกเรื่อง ทั้งเนื้อหาและโลโก้ ลอกไม่ว่าแต่อย่าสอบตก การที่พรรคประชาธิปัตย์เสนอตรงนี้เพราะไม่อยากตกขบวน พยายามแสดงให้เห็นว่าตัวเองก็คิดเป็น คิดได้ แต่ขอตั้งข้อสังเกตว่าทำไมไม่ทำคู่ขนานกับรัฐบาล เพิ่งจะมาคิดทำตอนนี้ ทั้งนี้ ยืนยันว่าการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทของรัฐบาลนั้น ก็เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานแล้วค่อยพัฒนาตัวอื่น การกู้นั้นเป็นการสร้างความมั่นใจ ใครมาเป็นรัฐบาลก็ต้องเดินต่อ เหตุผลสำคัญมันอยู่ตรงนี้ ส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านพยายามจุดประเด็นเรื่องการโกง กลัวว่าจะมีการทุจริตนั้น ถ้ากลัวก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี เรื่องนี้เป็นคนละเรื่องกับนโยบาย เรื่องทุจริตนั้นมีองค์กรที่คอยตรวจสอบอยู่แล้ว อาทิ ป.ป.ช. มันมีกติกาของมันอยู่ แต่ที่พรรคประชาธิปัตย์พูดว่ามีการกินหัวคิว 40% นั้น มันเป็นไปไม่ได้ เป็นแค่การพูดเอามัน ฝนยังไม่ตกอย่าเพิ่งกางร่ม

ปชป.ยันไทยเข้มแข็งทำได้ทันที

นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต ส.ส.บัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเปิดตัวโครงการอนาคตที่เลือกได้ ไทยเข้มแข็ง 2020 ยืนยันว่า สามารถดำเนินการได้ทันที และเป็นแนวทางพัฒนาประเทศที่สมดุลเกิดประโยชน์ครบถ้วนทุกด้าน และตรวจสอบได้ ซึ่งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะมีการพัฒนาทั้งระบบคมนาคม การศึกษา วิจัย สาธารณสุข และชลประทาน แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่เข้ามาบริหารประเทศกลับมาต่อยอดผิดทิศผิดทางเอาโครงการไปอยู่นอกระบบ มุ่งโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคม ละเลยด้านสาธารณสุข การศึกษาและชลประทาน ดังนั้นจึงต้องบอกว่าพรรคเพื่อไทยยกโครงการของประชาธิปัตย์มาเกือบทั้งดุ้น ส่วนที่กล่าวหาเรื่องทุจริตโครงการไทยเข้มแข็งนั้น ไม่มีคนของพรรคถูกดำเนินคดีในเรื่องนี้ ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลมา 2 ปีมีแต่กล่าวหาอย่างเลื่อนลอย ไม่สามารถเอาผิดได้เลย เป็นวาทกรรมซ้ำซากของพรรคเพื่อไทย เรื่องทุจริตไม่มีใครสู้พรรคเพื่อไทยได้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทยหนีคดีที่ดินรัชดาไปต่างประเทศ นายประชา มาลีนนท์ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย ก็หนีคดีรถดับเพลิง ไปต่างประเทศ เป็นผลงานด้านทุจริตที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่คิดจะสู้ จึงขอให้เลิกและหยุดกล่าวหาโดยปราศจากหลักฐานยืนยันได้แล้ว ขอให้เอาเรื่องทุจริตคอรัปชั่นเป็นสมบัติส่วนตัวของพรรคเพื่อไทย

จัดนิทรรศการคู่ขนาน กู้ 2 ล้าน ล.

นายชวนนท์ กล่าวว่า โครงการไทยเข้มแข็ง 2020 ชี้วัดวิสัยทัศน์ระหว่างประชาธิปัตย์กับเพื่อไทยว่าใครเห็นโอกาสในการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน หรือใครเห็นโอกาสในการสร้างฐานการเมืองทุจริตคอรัปชั่น โดยจะมีการรณรงค์ประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทุกช่องทาง รวมทั้งจัดนิทรรศการคู่ขนานกับเวทีผ่าความจริงด้วย สำหรับเนื้อหาที่มีการรณรงค์ของพรรคนั้น เป็นการเปรียบเทียบการใช้เงิน 2 ล้านล้านบาท ระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยเปรียบเทียบให้เห็นในรายละเอียดอย่างชัดเจนว่า ในขณะที่รัฐบาลกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท สร้างหนี้ 50 ปี รวมดอกเบี้ย 5.16 ล้านล้านบาท แต่ทุ่มเงินไปกับการพัฒนาด้านคมนาคมเพียงอย่างเดียว และราคาสูงเกินความจริง ขาดความคุ้มค่า แต่ถ้าทำตามโครงการสร้างอนาคตไทยเข้มแข็ง 2020 ไม่ต้องกู้เงินนอกระบบงบประมาณ สามารถตรวจสอบได้ โดยยังมีการพัฒนาได้ถึงสี่ด้านพร้อมกัน คือ คมนาคม 1.2 ล้านล้านบาท ด้านการศึกษา 4 แสนล้านบาท ด้านสาธารณสุข 2 แสนล้านบาท และด้านชลประทานเพื่อการเกษตรอีก 2 แสนล้านบาท

อ้างลงมือปฏิบัติแล้วแต่สะดุดยุคปู

นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ส.ส.กทม. และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า ความแตกต่างของการใช้เงินในระบบ 2 ล้านล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ และ นโยบายกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ของรัฐบาลเพื่อไทย ไม่เป็นหนี้ VS เป็นหนี้ 50 ปี พัฒนาทุกด้าน VS พัฒนาด้านเดียว โปร่งใส ตรวจสอบได้ VS ไม่โปร่งใส ตรวจสอบไม่ได้ คนทุกกลุ่มได้ประโยชน์ VS คนบางกลุ่มได้ประโยชน์ พออ่านจบแล้วลองดูครับ ว่าทางไหนเป็นทางเลือกที่ดีกว่า หากถามว่าทำไมตอนเป็นรัฐบาลถึงไม่ทำ สิ่งที่นำเสนอเป็นสิ่งที่รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ได้เคยเสนอเอาไว้แล้ว โดยเมื่อปี 53 หลังจากที่เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัวจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก จากนั้นจึงเริ่มดำเนินการตามแผนที่เสนอในครั้งนี้ เช่น เริ่มเจรจากับจีนเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง และ เริ่มศึกษาโครงการรถไฟรางคู่ แต่ต้องมาหยุดชะงักเมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เข้ามาบริหารประเทศต่อ

อัดทำหนี้พุ่ง 1 ล้านล้าน

นายสรรเสริญ สมะลาภา ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ในรายงานการแถลงผลงานที่รัฐบาลจัดทำระบุว่า รัฐบาลได้เข้ามาบริหารงานในระหว่างที่ประเทศเผชิญภาวะปัจจัยเสี่ยง ขีดความสามารถในการแข่งขันของต่างประเทศลดลงนั้นเหมือนเป็นการโยนบาปให้รัฐบาลพรรค ปชป.ซึ่งไม่เป็นความจริง เพราะรัฐบาล ปชป.เข้ามาบริหารประเทศเมื่อเดือน ธ.ค.51 ท่ามกลางวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ขณะนั้นอัตราการขยายตัวของจีดีพีลดลงถึง -7.9 แต่รัฐบาล ปชป.สามารถยกระดับเพิ่มมาถึง -2.7,5.8 และสูงถึง 12% ในปี 2553 แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยกลับเข้ามาบริหารแต่ทำให้จีดีพีช่วงแรกตกไป -8.9% จากเหตุอุทกภัย รัฐบาล ปชป.เข้ามาบริหารงานในเดือน ธ.ค.54 โดยมีตัวเลขการส่งออกจากรัฐบาลก่อนหน้า -15.7% แต่รัฐบาลสามารถทำให้ตัวเลขส่งออกขยายตัวสูงถึง 28.4% ก่อนจะส่งให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหาร แต่หลังการบริหารงานของรัฐบาลยิ่งลักษณ์กลับทำให้อัตราการส่งออกขยายตัวลดลงเหลือเพียง -1.3% ในเดือน ก.ค.56 เช่นเดียวกับอัตราการขยายตัวการท่องเที่ยวที่รัฐบาล ปชป.เข้ามาบริหารงานโดยมีตัวเลข -26.7% แต่สามารถทำให้ตัวเลขการท่องเที่ยวขยายตัวสูงถึง 35.7% ในเดือน ส.ค.ปี 2554 ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหาร และตัวเลขล่าสุดในเดือน ก.ค.ปี 56 พบว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ทำให้อัตราการขยายตัวการท่องเที่ยวลดลงจาก 35.7% เหลือ 22.5% แล้ว ในด้านตัวเลขหนี้สาธารณะนั้น รัฐบาลปชป.บริหารงานรวม 2 ปี 8 เดือน ตั้งแต่เดือน ธ.ค.51-ส.ค.54 มีหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น 8 แสนล้านบาท แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์รับไม้ต่อบริหารมา 1 ปี 10 เดือน แต่หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้น 1 ล้านล้านบาท ทั้งที่ระยะเวลาต่างกันเกือบปี ขณะที่ทุนสำรองระหว่างประเทศรัฐบาล ปชป.บริหารงานในเดือน ธ.ค.54 มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 1.1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่งมอบให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ 1.88 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในเวลา 2 ปี 8 เดือน แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์มาบริหารเกือบ 2 ปีเพิ่มขึ้นเพียงไม่ถึง 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ คือ จาก 1.88 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือน ส.ค.54 เพิ่มมาเป็น 1.95 แสนล้านเหรียญเท่านั้น

แฉ พท.กดบัตรแทน ลงมติแก้ รธน.

วันเดียวกัน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ประธานวิปฝ่ายค้าน แถลงว่า ในระหว่างที่มีการประชุมแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ ส.ว. โดยก่อนหน้านี้ได้มอบหมายให้นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ทีมกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย กรณีว่าเข้าข่าย การดำเนินการ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจปกครองประเทศ โดยวิถีทางที่ไม่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ ถ้าเข้าข่ายให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งเลิกกระทำดังกล่าวคือการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นอกจากนั้นขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวให้ยุติ การดำเนินการลงมติในสาระที่ 3 ไว้ก่อนจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย มีการปรากฏหลักฐานชัดเจนว่า มีการกดบัตรแทนกัน ในระหว่างการลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตรา 9 เมื่อวันที่ 10 ก.ย. เวลา 17.33 น. ช่วงการลงมติกับการพิจารณามาตรา 10 ในวันที่ 11 ก.ย. ช่วงการปิดการอภิปรายและลงมติว่าจะเห็นชอบกับร่างของคณะกรรมาธิการหรือไม่ในช่วงเวลา 16.43 น. ซึ่งทั้ง 2 มาตรา ส่อให้เห็นว่าเป็นการกระทำผิดรัฐธรรมนูญมาตรา 122 ที่ระบุชัดเจนว่า ส.ส.และ ส.ว.ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของปวงชนชาวไทยฯ และมาตรา 126 ที่ระบุว่า ในเรื่องการประชุมร่วมรัฐสภา ต้องมีส.ส.มาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งจึงจะนับเป็นองค์ประชุม ที่สำคัญคือสมาชิกคนหนึ่งย่อมมี 1 เสียง ในการออกเสียงลงคะแนน เพราะฉะนั้นการกดบัตรแทนกันจะทำให้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ถูกบิดเบือนหรือละเมิด เพราะ 1 คนกดบัตรไปหลายเสียง กรณีนี้ทางฝ่ายค้านได้มอบหมายให้นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อทางไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อยื่นคลิปกรณีการกดบัตรแทนกัน ในวันที่ 25 ก.ย.

โชว์คลิปเด็ดมัด ส.ส.พท.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าหลังจากนั้นนายจุรินทร์ ได้ให้เจ้าหน้านำคลิปภาพการกดบัตรแทนกันของส.ส.พรรคเพื่อไทยที่นั่งกดบัตรให้เพื่อน ส.ส.คนอื่น โดยมี ส.ส.อีกคนเป็น ผู้นำบัตรของ ส.ส.ผู้อื่นมาให้กดบัตรแทน ซึ่งทางพรรคฝ่ายค้านก็ได้เปิดโอกาสให้บรรดาสื่อมวลชนบันทึกวีดีโอ ที่นำมาเผยแพร่ด้วย ทั้งนี้มีรายงานด้วยว่า 2 ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ปรากฏในภาพนั้นเป็น ส.ส.ในพื้นที่ภาคอีสาน

วันที่ 25/09/2556 เวลา 6:14 น.

uasean

 

เครดิตและบทความเรื่องอื่นๆของ banmuang.co.th ดูทั้งหมด

223

views
Credit : banmuang.co.th


สงวนลิขสิทธิ์ © 2556 uAsean.com มหานครอาเซียน