ดันไทยผงาดศูนย์กลางแฟชั่น AEC
นายวิฑูรย์ สิมะโชคดี ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมแฟชั่นของไทยเป็นที่ยอมรับในตลาดโลกมากขึ้น โดยในเดือน ม.ค.-พ.ค.56 อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยสามารถส่งออกไปประเทศต่างๆ ได้กว่า 9.2 หมื่นล้านบาท ไทยสามารถส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปได้กว่า 3.4 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 36.96% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าสิ่งทอและเครื่องแต่งกายโดยรวม โดยมีมูลค่าการส่งออกประเทศในกลุ่มอาเซียน 1.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.96% ของช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่ผ่านมา ประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำและเป็นที่ยอมรับด้านแฟชั่นในกลุ่มอาเซียนอยู่แล้ว ถึงแม้ตลาดอาเซียนจะเป็นตลาดที่เล็กเมื่อเทียบกับตลาดฝั่งยุโรปและอเมริกา แต่มีแนวโน้มการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ อาเซียนจึงเป็นตลาดที่น่าสนใจในการรุกทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบ จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดสากล โดยเฉพาะตลาดอาเซียน ซึ่งน่าจะเป็นตลาดสำคัญในการส่งออกอุตสาหกรรมแฟชั่น
ทั้งนี้ ไทยถือว่ามีศักยภาพในระดับที่สูงหากเทียบกับกลุ่มอาเซียน ที่สำคัญแฟชั่นไทยก็เป็นที่ยอมรับของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นเป็นส่วนหนึ่งของ “โครงการเตรียมความพร้อมและสร้างเครือข่ายภาคธุรกิจอุตสาหกรรมเพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)” ของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม ตามนโยบายกระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นทั้งระบบให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลกแบบยั่งยืน โดยการประสานความร่วมมือกับภาคเอกชนในการสร้างภาพลักษณ์ การรับรู้ และเป็นตัวกลางในการประสานข้อมูล ทั้งในเชิงบุคลากรของวงการแฟชั่น การจัดกิจกรรม และการทำการตลาด ทั้งนี้ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมอุตสาหกรรมทำหน้าที่ขับเคลื่อนและพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นไทย
นายโสภณ ผลประสิทธิ์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า การพัฒนาอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยจะเป็นการบูรณาการครอบคลุม พัฒนาย่านการค้าเพื่อการส่งออก ได้แก่ โบ๊เบ๊ ประตูน้ำ สยามสแควร์ และจตุจักร เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้แก่ผู้ประกอบการทั้งในด้านการลงทุน การผลิต การออกแบบ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าแฟชั่น เพื่อเป็นศูนย์กลางการค้าอุตสาหกรรมแฟชั่นของกลุ่มประเทศในอาเซียน และขยายต่อไปทั่วทุกมุมโลก
กระทรวงอุตสาหกรรม ได้แต่งตั้งคณะกรรมการซึ่งเป็นบุคลากรจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างราบรื่น สามารถแก้ไขปัญหาและอุปสรรคได้อย่างทันท่วงที ทั้งนี้ ยังมีอำนาจในการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามที่คณะกรรมการบริหารโครงการมอบหมาย ด้วยงบประมาณบริหารโครงการกว่า 100 ล้านบาท
วันที่ 7/09/2556 เวลา 9:17 น.