พีดีเฮ้าส์ไม่หวั่นการเมืองระอุ
พีดีเฮ้าส์ เผยเดือน ก.ค.กวาดยอดขายสูงสุดในรอบปีเกือบ 200 ล้านบาท สวนทางตลาดรวมซบเซา โว 3 กลยุทธ์หลักนำความสำเร็จ ชูขยายสาขาต่างจังหวัดทั่วประเทศ-ขับเคลื่อนด้วยระบบแฟรนไชส์-ชูผู้นำบ้านอนุรักษ์พลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประเมินครึ่งปีตลาด ตจว.ขยายตัวต่อเนื่อง ขณะที่ตลาดกทม.แค่ทรงตัว ด้านนายก ส.ไทยรับสร้างบ้าน แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวเองเชิงรุก เตรียมพร้อมรับมือการแข่งขันเมื่อ ปทท.ก้าวสู่เออีซี
นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีดีเฮ้าส์คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ และเอคิโฮม เปิดเผยว่า เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กลุ่มบริษัทภายใต้แบรนด์พีดีเฮ้าส์สามารถทำยอดขายรวมได้เกือบ 200 ล้านบาท นับว่ามากที่สุดในรอบ 7 เดือนของปีนี้ และดูจะสวนทางกับผู้ประกอบการายอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่ยอดขายซบเซาหรือต่ำกว่าเป้าที่คาดไว้ ทั้งนี้การที่ยอดขายของบริษัทฯ เติบโตนั้นเหตุผลสำคัญๆ คือ ประการแรก บริษัทฯ ได้ปรับตัวเองด้วยการหันไปบุกเบิกตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัดในช่วง 3-4 ปีก่อนหน้านี้ปัจจุบันมีสาขาให้บริการแล้วมากถึง 34 สาขา ประการที่ 2 การนำกลยุทธ์สร้างเครือข่ายธุรกิจภายใต้ระบบแฟรนไชส์ และการสื่อสารแบรนด์กับผู้บริโภคมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประการสุดท้าย การวางตำแหน่งทางการตลาดในฐานะผู้นำเรื่องบ้านอนุรักษ์พลังงาน และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทั้งหมดส่งผลให้บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความวุ่นวายทางเมือง และเศรษฐกิจขาลงที่เกิดขึ้นในครึ่งปีหลังนี้ โดยบริษัทฯ ยังคงยืนเป้ายอดขายปีนี้ไว้ 1.4 พันล้านบาทเท่าเดิม
“การขยายสาขาออกไปยังต่างจังหวัดของบริษัทฯ ถือว่าเป็นการช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นกรณีตลาดรับสร้างบ้านในกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบทางการเมือง และทำให้กำลังซื้อในพื้นที่ชะลอตัว แต่ปัจจัยดังกล่าวไม่ส่งผลกับหลายๆ พื้นที่ในต่างจังหวัด ซึ่งยังมีกำลังซื้อตามปกติหรือบางพื้นที่กลับมียอดขายเติบโตสูงขึ้น เพราะเป็นตลาดใหม่และไม่มีคู่แข่งในพื้นที่ ในส่วนของการนำกลยุทธ์สร้างเครือข่ายธุรกิจมาใช้เป็นแนวทางในการขยายตลาดนั้น ถือเป็นการช่วยให้สามารถขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งการบริหารจัดการงานของสาขามีประสิทธิภาพ เพราะผู้บริหารสาขาคือนักลงทุนหรือเจ้าของธุรกิจโดยตรง เปรียบเสมือนบริษัทฯ มีหุ้นส่วนที่ช่วยกันดูแลและบริหารธุรกิจนับสิบคน ดังนั้น จึงเห็นไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ของกลุ่มบริษัทพีดีเฮ้าส์ตลอดเวลา”
สำหรับแนวโน้มภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในอีก 5 เดือนที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ ประเมินว่ายังสามารถขยายตัวได้เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน โดยเป็นการเติบโตจากตลาดในภูมิภาคหรือต่างจังหวัด ซึ่งมีทั้งผู้ประกอบการรายเดิมที่ขยายสาขาออกไป และรายใหม่ที่เข้ามาใหม่ในตลาดนี้ ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้นประเมินว่า อย่างดีก็แค่ทรงตัวแต่ก็นับว่าน่าพอใจแล้ว เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองไม่เอื้อต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภค ในขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการเองก็ดูจะอ่อนแรงจากการต้องเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานอย่างหนักในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา รวมทั้งโดนปัญหาวัสดุขาดแคลนและราคาขยับขึ้นหลายครั้งในปีนี้ ทำให้ต้องแบกรับต้นทุนทั้งค่าวัสดุและค่าแรงที่สูงขึ้น นอกจากนี้ แรงงานที่ขาดแคลนยังส่งให้งานก่อสร้างล่าช้ากว่าแผนงานหรือสัญญาฯ หลายๆ รายจึงประสบปัญหาขาดทุน
นายสิทธิพร สุวรรณสุต นายกสมาคมไทยรับสร้างบ้าน กล่าวเพิ่มเติมว่า ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจนี้ ไม่ควรดำเนินธุรกิจในลักษณะตั้งรับกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น ควรเน้นแก้ไขปัญหาในเชิงรุกทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เช่น ปัญหาขาดแคลนแรงงานระดับช่างและระดับอาชีวะศึกษา ต้องมีการร่วมมือกันและกำหนดเป็นยุทธศาสตร์ เพื่อนำไปสู่การแก้ไขปัญหาอย่างมีทิศทาง ฯลฯ โดยเฉพาะอีกเพียง 2 ปีเศษ ประเทศไทยจะเปิดสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี จำเป็นที่จะต้องเร่งปรับตัวเองแต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมพร้อมจะแข่งขันกับผู้เล่นทั้งไทยและเทศ สำหรับผู้ประกอบการที่มีเพียงสาขาเดียว ยังไม่ต้องคิดไปไกลว่าจะบุกตลาดต่างประเทศ เอาแค่คิดที่จะขยายฐานตลาดในประเทศก่อนเป็นอันดับแรกก็พอ เพราะหากเปลี่ยนการโฟกัส 10 ประเทศในกลุ่มอาเซียนเป็นประเทศเออีซี โดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ดังนั้น พม่า ลาว กัมพูชา ฯลฯ ก็เป็นเพียงภูมิภาคหนึ่งของเออีซีเท่านั้น ทั้งนี้เชื่อว่าประเทศที่ภาคธุรกิจจะพุ่งเป้าเข้ามาเปิดตลาดมากที่สุดคือประเทศไทย เพราะอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบและเสถียรภาพทางการเมืองก็ดีกว่าหลายๆ ประเทศ นั่นหมายถึงว่าผู้ประกอบการไทยต้องพร้อมรับมือการแข่งขันที่จะเปิดกว้างและรุนแรงมากขึ้นในเร็วๆ นี้
วันที่ 13/08/2556 เวลา 8:50 น.