วิปรัฐเดินหน้าล้างผิดดับพรบ.นิรโทษ
เดินหน้าลุยไฟ “วิปรัฐบาล” ยืนกรานไม่ถอนร่างนิรโทษ ยัน 7 ส.ค.เข้าถกสภา เร่งเกมวันเดียวจบ ขู่ต้านมากออกเป็น พ.ร.ก.แทน ขณะที่ “ปชป.” แฉรัฐย่องเงียบยัดร่างปรองดองสุดซอยฉบับเฉลิมเข้าสภาฯ แล้ว ลั่นต้านถึงที่สุด ยืนกรานต้องถอนทุกร่างพ้นสภาฯ ก่อนคุยสภาปฏิรูปการเมือง ด้าน “ม็อบกองทัพ ปชช.” ฮึ่ม 7 ส.ค.ยกระดับชุมนุมขวาง พ.ร.บ.นิรโทษ-ล้มระบอบทักษิณ ยังอุบไต๋แผนสู้ ป่วนชายเสื้อขาวบุกเดี่ยวขึ้นเวทีล็อกคอแกนนำ ก่อนวิ่งหายเข้า รพ.จุฬาฯ ส่วน “ศอ.รส.” ตื่นตูมหนัก อ้างได้กลิ่นมือที่ 3 จ้องป่วนปาระเบิดขวด งัดแผน รปภ.ขั้นสูงสุด ทำเนียบ-สภาฯ สั่งตั้งด่านสกัดเข้ม ขณะที่สงครามปล่อยข่าวเดือด “ไทกร” ปูดทักษิณจับมือเพื่อน ตท.10 วางแผนปฏิวัติ ตั้งวอร์รูมสวนรื่นฤดี แถมส่งหน่วยฮาร์ดคอร์แดง 5 พันแฝงตัวม็อบ ด้าน “พท.” ซัดเกมระเบิดประตูค่ายทหาร แฉกลับนักการเมือง อ. มียศนำหน้า สั่งซื้อเสื้อแดง 5 พันตัว ส่วน “นภดล” สวนกลับไทกรเลอะเทอะ ยันนายใหญ่ไม่คิดปฏิวัติรัฐบาลน้องปู ขณะที่สภาปฏิรูปการเมืองปูยังอึมครึม “2 เทพ” เดินสายเทียบเชิญ “อุกฤษ” ร่วม ด้านเจ้าตัว แนะตั้งสภาที่ปรึกษาอาวุโส ดึงป๋าเปรมนั่ง ปธ. เชิญบุคคลสำคัญที่พ้นวิถีการเมืองร่วม ส่วน “ปู” น้อมรับข้อเสนออุกฤษ แต่ขออยู่ก๊วนเดียวสภาปฏิรูปการเมือง วอน ปชป.อย่าตั้งแง่แลกเข้าร่วม
ชายชุดขาวบุกเดียวป่วนม็อบ
วันที่ 5 ส.ค. บรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ ตั้งแต่ช่วงเช้า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ยังคงปักหลักพักผ่อนอยู่ภายในเต็นท์ที่พัก ขณะที่บนเวทียังไม่มีการปราศรัยหรือจัดกิจกรรมใดๆ จะมีเพียงการ์ดดูแลความปลอดภัยบริเวณต่างๆ เท่านั้น อย่างไรก็ตามในช่วงเที่ยงได้เกิดเหตุชุลมุนขึ้นที่เวทีปราศรัย เมื่อมีชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาว กางเกงสีดำ รองเท้าผ้าใบสีดำ บุกขึ้นมาล็อกตัวผู้ที่กำลังปราศรัยบนเวที ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมรวมถึงการ์ดที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวต่างลุกฮือเข้ามาทำร้ายชายคนดังกล่าว โดยชายคนดังกล่าวได้พยายามวิ่งหลบหนีฝูงชนที่จะเข้ามาทำร้ายเข้าไปที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ขณะที่นายไทกร พลสุวรรณ เสนาธิการร่วมกองทัพประชาชนฯ ได้ขึ้นบนเวทีประกาศห้ามกลุ่มผู้ชุมนุมวิ่งตามเข้าไปทำร้าย พร้อมขอให้อยู่ในความสงบและอยู่ในที่ตั้ง อย่าหลงกลการยั่วยุ เพราะจะเป็นการเข้าทางกลุ่มผู้ไม่หวังดี อย่างไรก็ดี ภายหลังเหตุการณ์สงบ ทางการ์ดกองทัพประชาชนฯ ประกาศให้ผู้ชุมนุมที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกทำร้ายของชายคนดังกล่าวให้ไปแจ้งความที่ สน.ลุมพินี เนื่องจากทราบว่าชายคนดังกล่าวซ่อนตัวอยู่ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลจุฬาฯ จากนั้น พ.ต.อ.ไชยา คงทรัพย์ ผู้กำกับการสน.ลุมพินี ได้เดินทางเข้าตรวจสอบภายในห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลจุฬาฯ ภายหลังรับแจ้งเหตุ โดยยืนยันว่าไม่พบชายผู้ต้องสงสัยที่เข้ามาก่อเหตุวุ่นวายในพื้นที่ชุมนุม
เตรียมดาวกระจายสถานทูต
ต่อมาเวลา 10.15 น. นายไทกร แถลงว่า ขอขอบคุณประชาชนที่มาร่วมชุมนุมและมาบริจาคเงินช่วยเหลือ ซึ่งขณะนี้มียอดเงินทั้งหมด 980,578.25 บาท ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ กลับมาบอกว่าเป็นม็อบทอนตังค์ จึงเป็นการกล่าวหาที่ไร้สาระ เพราะคนที่ทอนตังค์มีแต่ลูกสมุนของ พ.ต.ท.ทักษิณเท่านั้น ขณะนี้กองทัพประชาชนเตรียมยื่นหนังสือไปยังสถานทูตต่างๆ ประกอบด้วย สถานทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน สหภาพยุโรป สมาคมอาเซียน สหประชาชาติ โดยเฉพาะการยื่นหนังสือที่สหประชาชาติ ซึ่งเป็นพื้นที่อยู่ในประกาศ พ.ร.บ.มั่นคง ทางกองทัพประชาชนฯ จะส่ง พล.อ.ท.วัชระ ฤทธาคนี เป็นตัวแทนในการยื่นหนังสือ หากเข้าไปได้และไม่ถูกจับก็จะเดินทางไป แต่จะไม่มีมวลชนร่วมเดินทางไปด้วย เพราะไม่ต้องการทำให้ประชาชนเดือดร้อน ทั้งนี้ทางแกนนำจะประชุมและหารือกันในช่วงบ่ายอีกครั้งก่อนจะแจ้งให้ทราบว่าจะเดินทางไปเวลาใด อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมามีกลุ่มมวลชนมาแจ้งว่า พบหมามุ่ยจำนวนมากถูกนำมาปล่อยภายในห้องน้ำของผู้ชุมนุม ขณะนี้ได้สั่งให้มีการเก็บหมามุ่ยออกจากพื้นที่แล้ว และขอให้ผู้ชุมนุมงดการใช้ห้องน้ำชั่วคราว เพื่อรอให้มีการทำความสะอาดและปลอดภัยกับผู้ชุมนุม
แฉทักษิณวางแผนปฏิวัติ
นายไทกร กล่าวต่อว่า จากการติดตามความเคลื่อนไหวของฝ่ายรัฐบาล ขณะนี้ทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ได้วางแผนกับเพื่อนร่วมรุ่น และนายทหารที่ใกล้ชิดระดับ 5 เสือ ทบ.ที่ดำรงค์ตำแหน่ง ผช.ผบ.ทบ.อยู่ขณะนี้เตรียมการ “ปฏิวัติรัฐประหาร” โดยใช้ทหารจากหน่วยทหารราบ 2 กองพันจากกรุงเทพฯ โดยเราทราบความเคลื่อนไหวทั้งหมด มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ โดยใช้วอร์รูมสวนรื่นฤดี ที่ตั้งของ กอ.รมน.เป็นที่วางแผนกัน ซึ่งขณะนี้ทางกองคณะเสนาธิการร่วมได้จับตาความเคลื่อนไหวแล้ว หน่วยข่าวกรองของคณะเสนาธิการร่วม ยังได้กลิ่นไม่ดีของตำรวจที่ได้ร่วมมือกับแกนนำ นปช. นำกลุ่มฮาร์ดคอร์เสื้อแดงจากหมู่บ้านเสื้อแดงต่างจังหวัดเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ แล้ว ซึ่งหน่วยข่าวทั้งหมดบอกฮาร์ดคอร์เหล่านี้มีทั้งหมด 5 พันคน แต่ขณะนี้ทยอยเดินทางเข้ามาจำนวน 2 พันคน มีแผนการที่จะมาปะปนกับมวลชนของเรา โดยพวกนี้มีเป้าหมายเพื่อมาสร้างความปั่นป่วน สร้างสถานการณ์ เพื่อให้เกิดความรุนแรงและโยนความผิดมาให้กองทัพประชาชน เพื่อให้เข้าทาง ศอ.รส.มีอำนาจในการขยายพื้นที่การประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง โดยมีเป้าหมายจะยึดเวทีการชุมนุม ขณะนี้พวกฮาร์ดคอร์ ได้เข้ามาพักยัง 2 แห่งในเขตกรุงเทพฯ คือ ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว และห้างอิมพีเรียลสำโรง ซึ่งคณะเสนาธิการรร่วมไม่ตื่นตระหนกอะไร และบ่ายนี้ทางคณะเสนาธิการร่วมจะมีการประชุมเพื่อปรับแผนการรับมือ เพราะตำรวจไม่ได้ทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ เพราะทุกอย่างมีความเชื่อมโยงกันหมด อีกทั้งหน่วยข่าวกรองของเราก็ยืนยัน สิ่งแรกเราต้องรักษาชีวิตของพี่น้องประชาชนที่มาร่วมชุมนุมกับเรา ทางกองทัพประชาชน จะนึกถึงพี่น้องร่วมอุดมการณ์ คณะเสนาธิการร่วมจะไม่เอาชีวิตพี่น้องประชาชนมาสังเวย เพราะทุกชีวิตมีค่า มีความสำคัญ เราจะไม่นำชีวิตพี่น้องร่วมอุดมการณ์ มาสู่เป้าหมายความสำเร็จในการดำเนินกิจกรรมของพวกเรา
ศอ.รส.สรุปยอดม็อบ 2 พันคน
ขณะที่ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) พล.ต.ต.ธนา ชูวงศ์ พ.ต.อ.หญิงวิชญ์ชยากรณ์ ณิชาบวร รองโฆษก ศอ.รส. แถลงข่าวรายงานสถานการณ์การชุมนุม และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า จากการประชุม ศอ.รส.วันนี้การข่าวได้รายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ส.ค. มีการชุมนุม 2 พื้นที่ที่แรกบริเวณหน้าสวนลุมพินี ยอดมวลชนสูงสุด 2,000 คน เมื่อเวลา 19.00 น. ไม่เป็นไปตามเป้าของผู้ชุมนุม เวทีที่สองเวทีผ่าความจริงของพรรคประชาธิปัตย์จัดที่สนามกีฬาประชานิเวศน์ มวลชนสูงสุด 1,200 คน ขณะนี้ตอนเช้าเหลือเพียงเวทีสวนลุมพินี มีมวลชนประมาณ 100 คน คอยดูแลพื้นที่ ยังมีเวทีและรถเครื่องเสียงจำนวน 8 คัน ส่วนหน้ากระทรวงการคลังมีกลุ่มหนี้สินเครือข่ายชาวนา ประมาณ 700 คน เป็นพื้นที่ตำรวจนครบาล 2 มีผู้บังคับการตำรวจนครบาล 2 คอยดูแลอยู่ จากข้อมูลด้านการข่าวและพยานหลักฐานที่ปรากฏในพื้นที่ยังมีรถเครื่องเสียงเตรียมพร้อมอยู่ การข่าวกลุ่มผู้ชุมนุมพยายามเร่งเติมมวลชนเพิ่มมากขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์ในวันนี้ที่จะดาวกระจายไปหลายพื้นที่ ทั้งสถานทูตจีน อเมริกา ที่ทำการอาเซียน ที่ทำการสหประชาชาติ รัฐสภา เป็นต้น ซึ่งการข่าวอาจมีการยั่วยุให้มีการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่บางส่วนด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องอดทน อดกลั้น ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ในฐานะ ผอ.ศอ.รส. ได้กำชับการปฏิบัติงานไปยังเจ้าหน้าที่ดังนี้ ให้ทุกหน่วยทุกกองกำลังที่ปฏิบัติหน้าที่ทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง และพื้นที่นอก พ.ร.บ.ความมั่นคง ให้ติดตามตรวจสอบการข่าวอย่างใกล้ชิด เตรียมปฏิบัติการตามแผนรักษาความปลอดภัย และจราจรเพื่อให้พี่น้องประชาชนที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใช้พื้นที่จราจรได้มากที่สุด ประสานกับหน่วยที่เกี่ยวข้องในเส้นทางที่จะมีการเสด็จราชดำเนินผ่าน ให้เหมาะสมและสมพระเกียรติ
คุมเข้มทำเนียบฯขั้นสูงสุด
สำหรับการรักษาความปลอดภัยภายในทำเนียบรัฐบาล ได้มีการตรวจเข้มการเข้าออกของบุคคลอย่างละเอียด โดยรถยนต์ส่วนตัวหากไม่มีบัตรอนุญาตเข้าออกทำเนียบฯ จะไม่ให้นำเข้ามาภายในโดยเด็ดขาด ส่วนรถยนต์ที่มีบัตรจะอนุญาตให้เข้า-ออกทางประตูสะพานอรทัยเพียงประตูเดียวเท่านั้น ขณะที่บุคคลที่มีบัตรแสดงตน เข้า-ออกได้ 3 ทาง คือประตูฝั่งสะพานอรทัย ประตูน้ำพุ และประตู 5 สำหรับบุคคลที่ไม่มีบัตรแสดงตน เข้า-ออก สามารถแลกบัตรได้ที่ประตูสะพานอรทัยเพียงประตูเดียว ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ จาก ศอ.รส. จำนวน 11 กองร้อย ได้ผลัดเปลี่ยนกันยืนรักษาการดูแลความปลอดภัยทุกประตู และโดยรอบทำเนียบฯ พร้อมกันนี้ยังมีการเตรียมรถปั่นไฟ รถดับเพลิง และรถควบคุมฝูงชน และอุปกรณ์ไว้จำนวนหนึ่งหากเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน นอกจากนี้ มีรายงานข่าวแจ้งว่า สาเหตุที่ ศอ.รส. ได้สั่งให้ปิดประตูเข้า-ออกโดยรอบทำเนียบรัฐบาล โดยอนุญาตให้เข้าออกเพียงประตูอรทัยประตูเดียวเท่านั้น เนื่องจากเมื่อวันที่ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา มีการข่าวแจ้งว่า ได้มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ไม่หวังดี เตรียมการที่จะสร้างความวุ่นวายเกิดขึ้น เช่น การปาขวดน้ำมันเข้ามาภายในบริเวณทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา จนอาจเกิดความวุ่นวายขึ้นได้ จึงต้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยสถานที่ทั้ง 2 แห่งขั้นสูงสุด ทั้งนี้การจราจรโดยรอบทำเนียบฯ ติดขัดอย่างหนักตั้งแต่ช่วงเช้า เนื่องจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้แจ้งปิดการจราจรในเส้นทางถนนราชวิถี ตั้งแต่แยกการเรือนถึงแยกราชวิถี ถนนพิชัย ตั้งแต่แยกขัติยานีถึงถนนราชวิถี ถนนอู่ทองในตั้งแต่แยกพระรูปฯ ถึงแยกอู่ทองใน ถนนพิษณุโลก ตั้งแต่แยกพาณิชย์ ผ่านแยกสวนมิสกวันถึงแยกวังแดง ถนนราชดำเนินตั้งแต่แยกสวนมิสกวัน ถึงแยกมัฆวาน
“นายกฯ ปู” เข้าทำงานทำเนียบ
ส่วนความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหมนั้น นายกรัฐมนตรี ได้เดินทางออกจากบ้านพักในซอยโยธินพัฒนา 3 ตั้งแต่เวลา 08.10 น. โดยในส่วนของการรักษาความปลอดภัยยังคงเป็นไปตามปกติ ขบวนรถของนายกรัฐมนตรี มีเพียงรถจักรยานยนต์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจนำขบวน 1 คัน ตามด้วยรถโฟล์คกันกระสุนป้ายแดง ทะเบียน ต 2321 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถของนายกรัฐมนตรี รถติดตามซึ่งเป็นรถฟอร์จูนเนอร์อีก 2 คัน และรถเก๋งโตโยต้าคัมรีของ 191 อีก 1 คันเท่านั้น ขณะที่บริเวณหน้าบ้านพักของนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ตำรวจของ บก.น.4 ยังคงรักษาความปลอดภัยของเข้มข้น โดยนายกรัฐมนตรีเดินทางมาถึงทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 08.45 น. ใช้เส้นทางด่วนยมราช แยกเข้าถนนหลานหลวง ถนนนครสวรรค์ และเข้าทำเนียบรัฐบาลทางประตูอรทัย โดยนายกรัฐมนตรีมีกำหนดการปฏิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาลตลอดทั้งวัน เริ่มตั้งแต่เวลา 09.15 น. ให้การต้อนรับ H.E. Mrs. Jocelyn S. Batoon-Garcia เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย ที่เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะ
“ประยุทธ์” ลั่นปฏิวัติแค่ข่าวลือ
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกระแสข่าวการปฏิวัติว่า อย่าไปขยายข่าวลือ ข่าวลือก็คือข่าวลือ อยากให้ทุกพวก ทุกคน ทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นพวกไหนก็ตาม ต้องมีสติ อยากยืนยันว่า ทหารมีหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย เราเป็นทหารของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และประชาชนโดยรวมทั้งหมด สิ่งใดก็ตามที่เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เรามีกระบวนการตรวจสอบและดำเนินการอยู่แล้ว แม้จะติดขัดและขรุขระอยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดกฎหมายจะเป็นตัวแก้ไขปัญหาทุกอย่าง ด้วยความห่วงใยและอยากเป็นกำลังใจให้ประชาชนทุกพวก ขอให้ปลอดภัยในการทำหน้าที่ของท่าน ทหารเป็นประชาชนเหมือนกัน แต่ติดด้วยเรื่องระเบียบวินัยต่างๆ คิดว่าเหตุการณ์ในประเทศเป็นเรื่องที่คนไทยต้องร่วมมือแก้ปัญหา แต่ไม่ทราบว่าต้องแก้ด้วยวิธีไหน ต้องไปหาวิธีการมา โดยไม่ให้เสียทั้งกฎหมายและการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การที่คนลือกัน เกรงว่า จะทำให้ประเทศชาติเสียหาย ทำให้ต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น และประชาชนตื่นตระหนกเสียขวัญ กลายเป็นผลประโยชน์ให้คนที่ปล่อยข่าว การปล่อยข่าวว่าให้มีการกักตุนอาหาร คิดว่าเกินไปในการหาประโยชน์กับประชาชน การไปพูดจาให้ร้าย กล่าวอ้างถึงสถาบัน คนเหล่านี้แย่มาก ผมเคยบอกเสมอว่า พระองค์ท่านไม่เคยลงมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง เพราะทุกคน คือประชาชนของพระองค์ท่านทั้งนั้น ท่านไม่สามารถจะไปตัดสินได้ในความเชื่อของท่าน ท่านไม่เคยบังคับใครอยู่แล้ว เพราะเป็นความเชื่อ สิ่งที่ทุกคนคิดต้องหาเจอกันให้ได้ พระองค์ท่านอยู่เหนือความขัดแย้งทั้งปวง ดังนั้นจะไปลือว่า ท่านเสด็จไปประทับที่หัวหิน เพื่อโน่นเพื่อนี่ ผมว่าไม่เป็นธรรมกับพระองค์ท่าน ผมบอกแล้วว่าเป็นข่าวที่ปล่อยออกมา ก็ไปหาตัวว่าใครเป็นคนปล่อยข่าว
หมายเรียก 4 มือโพสต์ปฏิวัติ
พล.ต.ต.พิสิษฐ์ เปาอินทร์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ ปอท. เรียกประชุมชุดสืบสวน หลังผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งให้ตรวจสอบกรณีมีบุคคลเผยแพร่ข้อความในลักษณะจะมีการปฏิวัติรัฐประหาร และขอให้ประชาชนกักตุนน้ำและอาหารให้พร้อม ผ่านโซเชียลมีเดีย ทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก พร้อมระบุรายชื่อผู้โพสต์ข้อความ คือ 1.นางสาววารุณี คำดวงศรี อายุ 27 ปี โพสต์ข้อความในเครือข่ายเฟซบุ๊ค 2.ผู้ใช้นามแฝงในเครือข่ายเฟซบุ๊ค มีข้อมูลว่าเคยร่วมงานถ่ายทำในรายการ แดดร่มชมตลาด 3.นายเสริมสุข กษิติประดิษฐ์ หรือเป๊ปซี่ บรรณาธิการข่าวการเมืองและความมั่นคง สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่มีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค และคนสุดท้ายคือ นายเดชาธร ธีรพิริยะ แกนนำคนเสื้อแดงในพื้นที่ จังหวัดชลบุรี ที่ใช้นามแฝง “ปุ๊ชลบุรี นักสู้ธุลีดิน” ซึ่งผู้กระทำผิดทั้ง 4 มีการโพสต์ข้อความที่มีลักษณะคล้ายกัน โดยการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งหลังจากนี้ จะออกหมายเรียกผู้กระทำความผิดทั้ง 4 ราย มารับทราบข้อกล่าวหา และยังมีอีก 2 ราย ที่ใช้นามแฝงว่า the Lady และ คณะเสนาธิการร่วม ที่ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่กำลังติดตามสืบหาตัวบุคคลที่กระทำความผิดในลักษณะเดียวกันเพิ่มเเติม หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นบุคคลใดก็จะดำเนินคดี ทั้งนี้ผู้บังคับการ ปอท. ยังเตือนประชาชนไม่ให้โพสต์ กดไลท์ หรือแชร์ข้อความที่ก่อให้เกิดความรุนแรงทางการเมืองด้วย เนื่องจากจะเข้าข่ายมีความผิดเช่นกัน
“นภดล” ปัดทักษิณเตรียมปฏิวัติ
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กล่าวว่า ที่นายไทกร ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณสั่งตั้งวอร์รูมที่เกาะช้าง ติดตามสถานการณ์การชุมนุม และเตรียมกำลังทหารทำรัฐประหารรัฐบาลตัวเอง พร้อมจะส่งคนเสื้อแดง 5,000 คนมาป่วนเวทีการชุมนุมที่สวนลุมพินีนั้น ขอปฏิเสธทุกเรื่องว่าไม่เป็นความจริง เป็นจินตนาการและความเลอะเทอะของนายไทกร เพราะใครเป็นรัฐบาลก็อยากให้เหตุการณ์สงบ ไม่มีเหตุวุ่นวาย แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ บทบาทของพรรคประชาธิปัตย์ที่ตั้งเวทีคู่ขนานกับม็อบโค่นระบบทักษิณที่สวนลุมพินี พรรคประชาธิปัตย์เหมือนเป็นหนึ่งพรรคสองระบบ มีการส่งตัวแทนพรรคไปขึ้นเวทีม็อบ ทั้งที่บอกว่าเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา จึงขอให้หยุดสร้างความแตกแยกทางการเมือง หยุดปลุกม็อบล้มรัฐบาล ให้เลิกฝันกลางฤดูฝนเป็นนายกฯ ส้มหล่น และยังรู้สึกแปลกใจที่นายอภิสิทธิ์ขึ้นเวทีผ่าความจริงระบุว่า ชื่ออภิสิทธิ์หมายถึงความสำเร็จ แต่ตามพจนานุกรมมีความหมายว่า สิทธิเหนือกฎหรือระเบียบที่วางไว้ และที่นายอภิสิทธิ์โจมตี พ.ต.ท.ทักษิณแบบเสียหาย โดยใช้วาทกรรมว่าเป็นอดีตนายกฯ ที่ใช้ไม่ได้ ถ้าไม่เลิกเหยียดหยามผู้อื่นก็ไม่มีทางได้เป็นนายกฯ ถ้าเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาธิปัตย์ได้เสียงถึง 265 เสียง ตนจะยุติบทบาททางการเมืองทันที
ปูดนักการเมือง อ.สั่งเสื้อแดง 5 พันตัว
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ตนได้รับรายงานว่า มีกลุ่มเคลื่อนไหวสั่งทำเสื้อสีแดงจำนวน 5 พันตัวจากโรงงานแห่งหนึ่ง โดยอ้างว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจะใช้ โดยจากการสอบถามแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พบ ว่าไม่มีใครสั่ง ซึ่งสอดคล้องกับคำแถลงของนายไทกร ที่ระบุว่าจะมีม็อบฮาร์ดคอร์ 5 พันคนเข้ามาป่วนการชุมนุม ซึ่งตนทราบมาว่ามีนักการเมืองอักษรย่อ อ. และมียศนำหน้า เป็นคนสั่งซื้อเสื้อสีแดงกว่า 5 พันตัว ไปแจกจ่ายให้กับประชาชนสวมใส่ โดยเชื่อว่ามีความพยายามจะสร้างแดงปลอมหรือกลุ่มแดงเทียม และได้ข่าวมาอีกว่าได้มีการรวมคนใต้อีกหลายจังหวัด ซึ่งขณะนี้ได้เดินทางมารวมตัวอยู่ที่จังหวัดชุมพรแล้ว และจะให้มีการสวมใส่เสื้อสีแดงเพื่อตบตาเจ้าหน้าที่ โดยจะอ้างว่าเข้ามาช่วยสนับสนุนรัฐบาลและคัดค้านกลุ่มต้านรัฐบาล ซึ่งตนได้แจ้งให้ฝ่ายความมั่นคงทราบแล้ว ว่าอาจจะมีการสร้างสถานการณ์เป็นมือที่สามได้ ซึ่งตนได้ประสานไปยังแกนนำ นปช.และแกนนำแดงกลุ่มอื่นๆ ขอให้อยู่ในที่ตั้ง อย่าออกมาเคลื่อนไหวในพื้นที่ที่ประกาศพ.ร.บ.ความมั่นคงทั้ง 3 เขต
วิปรัฐเดินหน้าดันร่างนิรโทษฯ
นายอำนวย คลังผา ประธานวิปรัฐบาล กล่าวภายหลังการประชุมวิปรัฐบาล ว่า ที่ประชุมมีมติตั้งคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย จำนวน 35 คน ตามสัดส่วน ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี 3 คน ส.ส.พรรคเพื่อไทย 17 คน ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 10 คน และที่เหลือเป็น ส.ส.พรรคอื่น และจะมีการแปรญัตติภายใน 7 วัน โดยคาดว่าจะใช้เวลาประชุมเพื่อพิจารณาในวาระแรกภายในวันที่ 7 สิงหาคมนี้ ก็เสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 6 ส.ค. จะประสานทางวิปฝ่ายค้าน เพื่อกำหนดกรอบการทำงาน ยืนยันว่า จะไม่มีการนำร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับอื่นมาพิจารณาร่วมกัน และมั่นใจว่าจะไม่มีเหตุความวุ่นวายเกิดขึ้นในสภาฯ อีกทั้งยังเชื่อมั่นว่า ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ จะให้ความร่วมมือ ทั้งนี้ จะไม่มีการถ่ายทอดสดการประชุมสภาฯ ทางช่องฟรีทีวี ตามที่พรรคประชาธิปัตย์เรียกร้อง เพราะถือว่าเป็นกฎหมายปกติ ส่วนการที่มีกลุ่มผู้ชุมนุมออกมาคัดค้านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับดังกล่าวนั้น หากอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายก็สามารถชุมนุมได้
“วรชัย” ยืนกรานไม่ถอนนิรโทษ
นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่า ยังคงเดินหน้าสนับสนุนให้สภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในวันที่ 7 ส.ค.นี้ เพื่อเร่งออกกฎหมายช่วยประชาชนทุกกลุ่มที่ถูกคุมขังอยู่ในคุก ทั้งนี้ เห็นว่าแนวทางการปฏิรูปการเมืองของนายกฯ เป็นแนวทางที่ดี เพื่อให้เกิดความปรองดอง แต่ต้องแยก 2 เรื่องนี้ออกจากกัน แต่หากพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ร่วมในการสร้างความปรองดองกับรัฐบาล แต่คิดจ้องจะล้มรัฐบาลอย่างเดียว ตนจึงขอท้าทายพรรคประชาธิปัตย์ว่า หากไม่ร่วมมือสร้างความปรองดอง ไม่เช่นนั้นจะเสนอให้รัฐบาลออกเป็นกฎหมาย พ.ร.ก. จะยอมรับหรือไม่ พร้อมกันนี้ ขอให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ควบคุมเหตุภายใต้กรอบของ พ.ร.บ.ความมั่นคง หากมีสถานการณ์ความวุ่นวาย ทำให้ไม่สามารถพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวได้ ยืนยันว่า รัฐบาลและพรรคเพื่อไทย มีความจงรักภักดี ไม่เป็นไปตามที่กลุ่มหน้ากากขาวกล่าวหา และผู้ชุมนุมเองก็ยังไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะออกมาขับไล่รัฐบาล
แฉสภาฯ บรรจุปรองดองเฉลิมแล้ว
นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มีการบรรจุร่างพระราชบัญญัติการปรองดองแห่งชาติ ที่นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย และคณะ เป็นผู้เสนอ ซึ่งเป็นร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง ฉบับเดียวกันกับที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน เคยนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีและสาธารณะ ว่าจะเป็นการนิรโทษกรรมแบบสุดซอย ซึ่งประเด็นดังกล่าวสะท้อนถึงความไม่จริงใจของรัฐบาล อย่างไรก็ตามในวันที่ 6 ส.ค. วิปฝ่ายค้าน จะมีการหารือถึงการประชุมวันที่ 7 ส.ค. ที่จะมีการประชุมสภาฯ เพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับที่เสนอโดยนายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยและคณะด้วย เบื้องต้นจะคุยในประเด็นเรื่องการถ่ายทอดสดการประชุมผ่านทางช่อง 11 เนื่องจากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ถือเป็นร่างกฎหมายที่สำคัญ รวมถึงจะหารือถึงเวลาการอภิปราย เพราะเชื่อว่าฝ่ายค้านจะไม่ยอมรับเวลาอภิปรายที่จำกัดให้อภิปรายถึงเวลา 23.00 น. เท่านั้น เบื้องต้น ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ มีจำนวน 162 คน อยากให้จัดเวลาให้อภิปราย 162 ชั่วโมง ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เสนอว่ามีปัญหาใดให้ใช้เวทีสภาฯ ในการพูดคุย
“อุกฤษ” รับข้อเสนอปฏิรูป
วันเดียวกัน นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และนายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าพบนายอุกฤษ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภา และประธานคณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่บ้านพักซอยร่วมฤดี 3 เขตปทุมวัน เพื่อทาบเชิญเข้าร่วม พูดคุยในเวทีสภาปฏิรูปการเมือง ร่วมหาทางออกประเทศไทย โดยนายอุกฤษ กล่าวว่า เห็นด้วยกับหลักการที่มุ่งมั่นของรัฐบาลในการสร้างความปรองดอง และเปิดโอกาสให้คู่ขัดแย้งหาทางออกของประเทศร่วมกัน แต่เป็นห่วงว่าสถานการณ์อาจยืดเยื้อหรือไม่ยอมรับ เพราะขณะนี้ความเห็นของทุกฝ่ายยังไม่ตรงกัน มีขั้เรียกร้องต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นอาจไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ดังนั้นขอเสนอให้รัฐบาลเชิญผู้ใหญ่ของบ้านเมืองที่พ้นวิถีทางการเมืองมาร่วมกันหาทางออก โดยเรียกว่าสภาผู้อาวุโส หรือ สภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน ซึ่งประกอบด้วย อดีตนายกรัฐมนตรี อดีตประธานรัฐสภา อดีตประธานศาลฎีกา เป็นต้น สำหรับผู้ที่ขอเสนอชื่อเป็นพิเศษ คือ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งหากองค์ประกอบครบถ้วนตามที่เสนอ ตนเองจึงจะเข้าร่วมการหาทางออกประเทศในครั้งนี้ ส่วนข้อเรียกร้องให้ถอน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ออกจากการพิจารณาของสภาฯ นั้น เห็นว่ากระบวนการต้องใช้เวลานานกว่าจะเสร็จสิ้น ซึ่งทุกฝ่ายควรหันมาทำความเข้าใจ
“ปู” ยันเดินหน้าปฏิรูปการเมือง
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า แม้จะมีอุปสรรค รัฐบาลก็จะเดินหน้าเวทีปฏิรูปการเมือง ซึ่งขณะนี้ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาในการดำเนินการ แต่ก็จะทำอย่างดีที่สุด ทั้งนี้ขอให้พรรคประชาธิปัตย์อย่าสร้างเงื่อนไขในการที่จะเข้าร่วมเวทีปฏิรูปการเมือง เพราะการเปิดเวทีดังกล่าวขึ้นนั้น รัฐบาลต้องการให้ทุกฝ่ายได้แสดงความคิดเห็นว่าการสร้างความปรองดองไม่ใช่เรื่องของฝ่ายใด แต่เป็นเรื่องของทุกคน ส่วนข้อเสนอของ นายอุกฤษ ที่ให้ตั้งสภาทึ่ปรึกษาอาวุโสโดยเชิญ พล.อ.เปรม มาเป็นประธานนั้น รัฐบาลยินดี แต่อยากให้มาอยู่ในวงเดียวกัน เมื่อถามว่า วันที่ 7 ส.ค.จะเข้าร่วมการประชุมสภาหรือไม่ นายกฯ พยักหน้ารับ และเดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าทันที
“ทักษิณ” ทวิตอัด “มาร์ค” จิตวุ่น
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ @ThaksinLive ทวิตข้อความต่อเนื่อง ตั้งแต่เวลา 13.00 น. จำนวน 18 ข้อความ โดยใจความเป็นการตำหนินายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ว่าเป็นคนที่พูดจาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ยังติดอยู่กับรักโลภ โกรธ หลง ไม่เข้าใจคนหาเช้ากินค่ำ ดังนี้ “…วันนี้ขอเริ่มด้วยคำสอนท่านพระพุทธทาส ที่ว่า “จิตวุ่นปัญญาหายจิตว่างปัญญามี” จิตที่วุ่นมันมักจะเกิดจากความหมกมุ่นในกิเลสที่มาจากโลภ โกรธ หลง ผมพยายามทำความเข้าใจกับพฤติกรรมคุณอภิสิทธิ์ ว่าแกทำไมเหมือนคนไม่ปกติทั้งๆ ที่การศึกษาก็ดีเกิดและโตในประเทศที่มีประชาธิปไตยที่พัฒนาไปไกล ทำไม ทำไม คุณอภิสิทธิ์เป็นไปได้ขนาดนี้พูดจาไม่อยู่กับร่องกับรอยกลับไปกลับมา แล้วแต่ตอนแกพูดแกอยากได้อะไรลิ้นแกบิดได้ตลอดไม่มีหลักการอุดมการณ์เลย คำตอบมีอยู่ 2 ทาง คือทางธรรมและทางจิตวิทยา ทางธรรมคือแกยังปล่อยวางไม่ได้ชีวิตหมกมุ่นกับโลภโกรธหลง แกโกรธเพราะแกไม่สามารถชนะในกติกาได้ทั้งๆ ที่กติกาการเลือกตั้งที่คิดว่าได้เปรียบแล้ว และแกก็หลงที่เป็นนายกฯ และอยากกลับมาเป็นอีกทั้งๆ ที่ทำอะไรก็ไม่เป็น นอกจากพูด แถมไม่อยู่กับร่องกับรอยอีก นอกจากนั้นแกยังมีคู่หูที่เป็นคนที่หน้าด้านคอยยุแกก็เลยเป็นอย่างที่เห็น”
ฉะลูกคุณหนูไม่เข้าใจคนหาเช้ากินค่ำ
พ.ต.ท.ทักษิณ ทวิตอีกว่า “ส่วนทางจิตวิทยานั้นยิ่งชัดเพราะแกถูกเลี้ยงดูมาเพื่อเตรียมตัวเป็นนายกฯ ไปเกิด โต และเรียนที่อังกฤษไม่เข้าใจชีวิตของคนหาเช้ากินค่ำ แกเข้าใจแต่ความต้องการของตัวเองเท่านั้น ยิ่งตอนนี้ผมคือคนเดียวที่แกคิดว่าขัดขวางความต้องการของแก ก็เลยเกิดอาการติดหล่มทักษิณคือหลับตาก็เห็นแต่ผม ลืมตาก็เห็นแต่ผม หลอกหลอนแกตลอดเวลา ผมอยากฝากให้คุณพ่อช่วยอภิสิทธิ์อีกครั้ง ช่วยพาแกไปพบจิตแพทย์และคุณแม่ ซึ่งเป็นผู้ร่วมสร้างวัดพระธรรมกายตอนต้นๆ ได้พาอภิสิทธิ์ไปเอาธรรมไปนั่งสมาธิฝึกปล่อยวางให้ได้ก็จะเป็นคุณูปการต่อประเทศครับ เพราะเรื่องของปัญหาทางจิตใช้อภิสิทธิ์แบบการหนีทหารไม่ได้ครับ ส่วนคู่หูนั้นเป็นคนหน้าด้านแกอยากได้อะไรแกจะต้องเอาให้ได้แกไม่เคารพ ทั้งกฎหมายและศีลธรรมไม่เชื่อลองไปถามคุณพรเทพและคนแถวภูเก็ตดูซิครับ ที่ผมพูดมานี้ก็โทษด้วยนะอยากให้รู้ตัวเอง คนอื่นไม่กล้าพูดเพราะเป็นเด็กถูกตามใจมาทั้งชีวิต ผมยังจำได้แม่นที่ในปี 2537 ต่อ 2538 ผมเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศรัฐบาลนายชวน ผู้ร่วมปั้นอภิสิทธิ์ คุณอภิสิทธิ์เป็นโฆษกรัฐบาล ไม่รู้คุณชวนไปขัดใจอะไรแก แกเลยให้สัมภาษณ์บางกอกโพสต์ว่าคุณชวนเป็นคนตัวสูงในหมู่คนเตี้ย (the tallest among the short) คุณชวนหมดโอกาสเป็นนายกฯ อินเตอร์แล้ว คุณชวนเลยไล่ให้แกไปถามแม่แก คุณอภิสิทธิ์แกจะพูดเป็นพระเอกอยู่ตลอดเวลาเพราะแกมั่นใจในความมีอภิสิทธิ์ของแก ผมอยากขอจบด้วยหลักของการเป็นคนพุทธครับ ที่เราจะรู้จักคำว่าเมตตาธรรมต่อเพื่อนมนุษย์โดยเฉพาะผู้ยากไร้และคำว่าให้อภัยต่อกันและผมก็พร้อมแม้จะเจ็บ”
วันที่ 6/08/2556 เวลา 7:44 น.