“จาตุรนต์” ชูการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) แถลงนโยบายและการขับเคลื่อนงานด้านการศึกษาแก่ผู้บริหารระดับสูงของกระทรวงศึกษาธิการ มีใจความสำคัญตอนหนึ่ง ว่า ตนได้ประมวลนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล และจากที่ รมว.ศธ. คนก่อน ๆ ทำก่อนหน้ารวมทั้งจากการรับฟังการทำงานและข้อเสนอแนะของหน่วยงานต่าง ๆ แล้วเห็นว่าการจัดการศึกษาควรจะต้องสอดคล้องกับเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจสังคม และต้องเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขันเพื่อพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน คือสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้และเป็นโจทย์ของการศึกษาและการปฏิรูปการศึกษาของประเทศไทย โดยเฉพาะการพัฒนาคนให้มีความพร้อมและมีทักษะเหมาะกับศตวรรษที่ 21ซึ่งเป็นยุคความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
อย่างไรก็ตาม จากการจัดอันดับของสถาบันพัฒนาการบริหารจัดการระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มดี พบว่าในปี 2013การศึกษาของประเทศไทย อยู่ในอันดับที่ 51 จาก 60 ประเทศ และผลการประเมินและผลทดสอบของโครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ หรือ (PISA) ในปี 2009นั้นปรากฏว่าประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 50 จาก 65 ประเทศ ขณะที่และผลการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกโดยไทม์ส ไฮเออร์ เอ็ดดุเคชั่น เวิลด์ แรงกิ้ง
ปี 2012-2013มีมหาวิทยาลัยไทยเพียงแห่งเดียวที่ติดอันดับ โดยอยู่ในกลุ่มอันดับที่ 351-400 ดังนั้น ถึงเวลาที่จะต้องยกเครื่องการศึกษาไทยให้มีคุณภาพมาตรฐานระดับสากลและสอดคล้องกับสังคมยุกต์ใหม่
“ในฐานะ รมว.ศธ. ผมจะประกาศให้การจัดการศึกษาเป็นวาระแห่งชาติ โดยให้ปี 2556เป็นแห่งการรวมพลังยกระดับคุณภาพการศึกษา โดยมีเป้าหมายมุ่งพัฒนาผู้เรียนให้สามารถคิด วิเคราะห์ เรียนรู้ได้ด้วยตนเอง มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์และทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่ 21 ภายในปี 2558 ได้แก่ ผลการจัดอันดับการศึกษาไทย ผลการทดสอบ PISA ของไทยอยู่ในอันดับดีขึ้นเปลี่ยนจากอันดับที่ขึ้นต้นด้วยเลข 5มาสู่อันดับที่ขึ้นต้นด้วยเลข 4ขณะที่ต้องทำให้สัดส่วนผู้เรียนอาชีวศึกษาและสามัญเพิ่มขึ้นเป็น 50:50ส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยไทยติดอับดับโลกมากขึ้น ซึ่งอยากเรียกร้องให้สังคมมาร่วมคิดกลไกในการพัฒนาและผลักดันมหาวิทยาลัยไทยด้วย และการกระจายโอกาสและเพิ่มความเสมอภาคทางการศึกษามากขึ้น พร้อมกับเน้นการส่งเสริมให้ภาคเอกชนที่มีศักยภาพเข้ามามีส่วนร่วมและสนับสนุนการจัดการศึกษามากขึ้น”นายจาตุรนต์ กล่าว
นายจาตุรนต์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับนโยบายที่ต้องเร่งรัดดำเนินการตามนโยบายรัฐบาลและสานต่องานที่ทำไว้แล้ว 8 เรื่อง ประกอบด้วย 1.เร่งรัดปฎิรูปการเรียนรู้ทั้งระบบให้สัมพันธ์เชื่อมโยงกัน 2.ปฎิรูประบบผลิตพัฒนาครู 3.เร่งนำเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการปฎิรูปการเรียนรู้ 4.พัฒนาคุณภาพการอาชีวศึกษาให้มีมาตรฐานเทียบได้กับระดับสากล 5.ส่งเสริมให้สถาบันอุดมศึกษาเร่งพัฒนาคุณภาพมาตรฐานมากกว่าการขยายเชิงปริมาณ 6.ส่งเสริมให้เอกชนและทุกภาคส่วนเข้ามาร่วมจัดและสนับสนุนการศึกษามากขึ้น 7.เพิ่มและกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ และ8.ให้ความสำคัญกับการพัฒนาการศึกษาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกจากนี้สิ่งที่จะต้องดำเนินการขับเคลื่อนและเป็นกลไลสำคัญของการศึกษา คือ เร่งรัดจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา จัดตั้งสถาบันวิจัยหลักสูตรและพัฒนาการเรียนการสอน สร้างความเข้ามแข็งของกลไลวัดผล ประเมินผล เร่งรัดให้มี พ.ร.บ.อุดมศึกษา เพื่อประกันความอิสระและความรับผิดชอบต่อสังคม และเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการและใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะเดียวกันจะมีการตั้งคณะกรรมการและคณะทำงานเพื่อขับเคลื่อนเรื่องสำคัญต่างๆ และจัดประชุมปฎิบัติการอย่างเป็นระบบ เพื่อระดมความคิดในการขับเคลื่อนงานตามนโยบาย
“ส่วนนโยบายเรื่องการแก้ปัญหาทุจริตคอรัปชันในวงการศึกษานั้น เรื่องนี้เป็นนโยบายใหญ่และสำคัญอย่างมากของรัฐบาล ผมจะกำชับดูแลให้การทำงานในทุกองค์กรหลักศธ.ไม่ว่าจะเป็นการบริหารงานหรือการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการทุกอย่างต้องมีความสุจริตโปร่งใสและเป็นธรรม ส่วนกรณีการทุจริตต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน ศธ.นั้น จะต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา เพื่อหาผู้ทุจริตมาลงโทษให้ได้ แต่คงไม่สามารถไปกำหนดกรอบเวลาของการแก้ปัญหาทุจริตต่าง ๆ ได้ว่าควรจะเสร็จได้เมื่อไร แต่จะต้องยึดหลักความถูกต้องรวดเร็วมีประสิทธิภาพและเป็นธรรมประกอบกัน แต่หากการตรวจสอบเกี่ยวกับการทุจริตนั้นจะใช้นโยบาย หรือไปกำหนดรายละเอียดมากเกินไปไม่ได้ เพราะอาจเป็นการใช้ดุลยพินิจทางการเมืองเป็นเครื่องตัดสิน อย่างไรก็ตามยืนยันว่าเรื่องการทุจริตต่างๆจะไม่เป็นมวยล้มอย่างแน่นอน”
วันที่ 11/07/2556 เวลา 16:55 น.