เฉลิมงอนเบี้ยวถกครม.
“เฉลิม” ยังงอนไม่เลิก เบี้ยวเข้าทำงาน ก.แรงงานวันแรก แถมขอลาป่วย ไม่ร่วมถก ครม.ปู 5 นัดแรก ขณะที่ “นายกฯ ปู” ยันไร้ปัญหาลดชั้นเฉลิมคุมแรงงาน ฟุ้งปรับทัพ ครม.เหมาะสม-รักษาสมดุล โต้ควบ กห.หวังล้วงลูกโผทหาร อ้างเพื่อการตัดสินใจรวดเร็วขึ้น ขณะที่ “บิ๊กอ๊อด” โว ผบ.เหล่าทัพแฮปปี้นายกฯ ควบกลาโหม ส่วน “ ส.ส.อีสาน” เสียงอ่อนรับได้โควตา รมต.หด อุ้ม ครม.ต้องการคนมีเทคนิคมากกว่าด้านการเมือง ขณะที่ “ ส.ส.แดง” ยังแคลงใจ ครม. ปู 5 ผิดที่ผิดทาง เหมือนตั้งท่าถอย-ไม่สู้ หวั่นเอาไม่อยู่ ชี้เกมสภา ปชป.รอบจัด-เขี้ยวลากพื้น
“ปู” แจงควบ กห.ตัดสินใจรวดเร็ว
เมื่อวันที่ 1 ก.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การปรับคณะรัฐมนตรี ที่มีการควบตำแหน่ง รมว.กลาโหมนั้น เท่าที่ทำงานกับกองทัพมา ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดี ส่วนเหตุผลที่ต้องควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม เพื่อให้การทำงานมีการตัดสินใจรวดเร็วขึ้น และพิจารณาสิ่งที่รัฐบาล จะต้องสนับสนุน เพื่อให้การทำงานสามารถเดินหน้าได้อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ ในฐานะนายกฯ เป็นผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ดูแลกองทัพมาเกือบ 2 ปี เห็นวิธีการทำงานที่รัฐบาลกับกองทัพต่างคนต่างทำในภารกิจของตนเองอย่างเต็มที่ การรายงานในหลายขั้นตอนทำให้คลาดเคลื่อน แต่สิ่งที่ต้องทำคือ ให้การทำงานในนโยบายต่างๆ สอดคล้องและรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะการตัดสินใจ ยืนยันว่า ไม่มีแนวคิดเพื่อต้องการล้วงลูกโผทหาร อย่างที่พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหา เพราะต้องการเข้ามาทำงานมากกว่า ส่วนจะมีแนวทางแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้อย่างไร ต้องเข้าไปดูงานก่อน
ยันไร้ปัญหาย้ายเฉลิมคุมแรงงาน
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวต่อว่า ส่วนนายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ จะช่วยให้สามารถแก้ปัญหาโครงการรับจำนำข้าวได้ ขณะที่ นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ รมช.เกษตรและสหกรณ์ รับผิดชอบมองทุกมิติในโครงการรับจำนำข้าว รวมถึงดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกร ไม่ได้มองแค่ว่ากระทรวงพาณิชย์ จะขายได้เท่าไหร่ แต่ต้องมองในมิติของกระทรวงเกษตรฯ รวมไปถึงกระทรวงการคลังด้วย เพื่อให้มองเห็นการทำงานในภาพรวมมากขึ้น อีกทั้งยังมีผู้ติดตามการทำงานเพื่อรักษาสมดุลได้ ต้องเรียนว่าเป็นการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม ซึ่งนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ เป็นผู้เริ่มโครงการรับจำนำข้าว จนประสบความสำเร็จช่วยให้เกษตรกรได้มีรายได้ วันนี้เป็นการต่อยอดการปรับ ครม. เพื่อความเหมาะสม ซึ่งการปรับ ครม.ครั้งนี้ เมื่อทำงานมาเกือบ 2 ปีก็ต้องดู งานที่เริ่มต้นต้องการผู้เข้าใจในนโยบาย ส่วนงานสานต่อ ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งในการปรับเปลี่ยนเพื่อความเหมาะสม การปรับเปลี่ยนในครั้งนี้ก็เพื่อนำบุคคลที่มีความรู้โดยตรงมาช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่อยากให้มองเป็นอย่างอื่น สำหรับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน คงไม่ต้องเคลียร์ใจอะไร เพราะการทำงานในกระทรวงแรงงาน จะได้ทำงานมากกว่า ส่วนตำแหน่งรองนายกฯ ต้องดูแต่นโยบาย ส่วนการลงกระทรวงแรงงาน คิดว่าเป็นสิ่งที่ดี ก่อนหน้านี้นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ อดีต รมว.แรงงาน ก็ได้ทำนโยบายจนประสบความสำเร็จตามที่ได้แถลงไว้ต่อรัฐสภา ในการปรับรายได้ขั้นต่ำวันละ 300 บาท ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม ก็จะเข้ามาต่อยอด เพราะมีความรู้ความเข้าใจด้านกฎหมาย ซึ่งจะประสานงานความร่วมมือ เช่น เรื่องอาเซียน หรือในระดับภูมิภาค การปรับไม่ได้หมายความว่า รัฐมนตรีท่านใดท่านหนึ่งมีปัญหา ส่วนการที่ ร.ต.อ.เฉลิม ออกมาแสดงความคิดเห็นว่านายกฯ ลอยตัวในหลายเรื่อง เช่น โครงการรับจำนำข้าวนั้นก็มีสิทธิ์คิดได้ เพราะเราพูดกันเพื่อให้เกิดการทำงานที่ดีขึ้น ไม่มีปัญหาอะไร เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ก็ยังคุยกันดีอยู่
เตรียมนำ ครม.ประกาศต้านทุจริต
นายธีรัตถ์ รัตนเสวี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังการประชุมคณะรัฐมนตรีวันที่ 2 ก.ค. เวลา 14.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ จะประกาศเจตนารมณ์เดินหน้าหยุดคอรัปชั่นในทุกระดับ สร้างมิติใหม่ให้เป็น ครม.ที่โปร่งใส ยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรม ส่งเสริมภาพลักษณ์ไทยให้ดีขึ้นเป็นที่ยอมรับในระดับสากล แผนการดำเนินงานในการหยุดคอรัปชั่นระหว่างปี 2556-2557 ที่จะมีการแต่งตั้งหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวง กรม จังหวัด ผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ อธิการบดีสถาบันอุดมศึกษา และผู้อำนวยการองค์การมหาชน มาร่วมกันเป็นที่ปรึกษาพิเศษคณะกรรมการ ป.ป.ท. (Chief Anti-corruption Officer) เพื่อต่อต้านการทุจริตในหน่วยงานของตนเอง และร่วมมือกับ ป.ป.ท.ในการจับตาและให้ข้อมูลเกี่ยวกับการคอรัปชั่น ขณะที่การมีส่วนร่วมภาคประชาชนมี 3 ช่องทางรับเรื่องร้องเรียน ได้แก่ตู้รับเรื่องร้องเรียนทุจริตทั่วประเทศ สายด่วน 1206 และ www.stopcorruption.go.th
“บิ๊กอ๊อด” โวเหล่าทัพแฮปปี้ปูควบ กห.
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมช.กลาโหม กล่าวว่า การมาเป็น รมช.กลาโหม เพื่อช่วยนายกรัฐมนตรีทำงานก็ไม่มีปัญหา เพราะที่ผ่านมาทำงานร่วมกันอยู่แล้ว และเป็นผลดีกับงานในกระทรวงกลาโหม และประเทศชาติ การมาทำงานครั้งนี้เพื่อให้งานทุกอย่างเรียบร้อย ราบรื่น ซึ่งได้คุยกับ ผบ.ทหารสูงสุด และ ผบ.ทบ.แล้ว และทุกคนก็ดีใจที่ได้กลับมาทำงานร่วมกัน เพราะถือเป็นสายงานที่ตรงกัน เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีได้บอกเหตุผลหรือไม่ว่าทำไมถึงนั่งควบ รมว.กลาโหมเอง และมอบให้ พล.อ.ยุทธศักดิ์เป็น รมช.กลาโหม พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า นายกฯ ไม่ได้พูดอะไร แค่บอกว่าให้มาช่วยงานในฐานะที่มีประสบการณ์ในกระทรวงกลาโหมมาทุกงานแล้ว ส่วนที่หลายฝ่ายวิจารณ์ว่าการที่นายกฯ ควบตำแหน่ง รมว.กลาโหม คงไม่มีผลในเรื่องการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี ในฐานะที่เราเป็นพี่น้องกันอยู่ แต่ละหน่วยงานเราคุยกันก่อนได้ก่อนที่เรื่องจะถึงนายกรัฐมนตรีในฐานะ รมว.กลาโหม มั่นใจว่าวันประชุมสภากลาโหมจริงๆ ใช้เวลานิดเดียวก็จบ ไม่มีการโหวตแน่นอน ยืนยันว่าไม่มีการต่างคนต่างถือโผตัวเองมา แล้วมานั่งเถียงกันในสภากลาโหม
“เฉลิม” ยังงอนงดเข้า ก.แรงงาน
ขณะที่ความเคลื่อนไหวของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ยังไม่เดินทางเข้ากระทรวงแรงงานหลังได้รับโปรดเกล้าฯ ขณะเดียวกันได้แจ้งไม่เข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะมีการประชุม ครม.ชุดใหม่นัดแรกในวันที่ 2 ก.ค. เนื่องจากลาป่วยเพื่อไปพบแพทย์ แต่มีกระแสข่าวว่าในช่วงเย็นวันนี้จะไปร่วมงานเลี้ยงอำลาตำแหน่งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ในการถ่ายรูปหมู่รัฐมนตรีใหม่ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิมไม่ได้เข้าร่วมถ่ายภาพหมู่ด้วยเช่นกัน
พท.เชื่อ “เหลิม” เป็นผู้ใหญ่ไม่น้อยใจ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การปรับคณะรัฐมนตรี จากผลสำรวจของโพลหลายสำนักพบว่า เสียงสะท้อนของประชาชนให้การตอบรับที่ดีกับ ครม.ชุดใหม่ เพราะมีบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งนักการเมืองและอดีตข้าราชการประจำมาร่วม ครม.ในครั้งนี้ ทำให้ ครม.ยิ่งลักษณ์สร้างความเชื่อมั่นในสายตาประชาชนได้มากยิ่งขึ้น สำหรับการดำรงตำแหน่งควบ รมว.กลาโหมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในอดีตที่ผ่านมาก็มีนายกฯ พลเรือนที่ควบกระทรวงกลาโหม อาทิ นายชวน หลีกภัย นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ทั้งนี้มองว่าเป็นเรื่องดีสะท้อนว่านายกฯ ให้ความสนใจปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ฝ่ายค้านออกมาตั้งข้อสังเกตว่านายกฯ ต้องการแทรกแซงการแต่งตั้งข้าราชการทหารไม่เป็นความจริง เนื่องจากการแต่งตั้งต้องผ่านการเห็นชอบของคณะกรรมการ ไม่มีใครมาแทรกแซงอำนาจ ผบ.เหล่าทัพได้ และเชื่อว่านายกฯ ไม่เข้าไปล้วงลูกแน่นอน ส่วนกรณี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ไม่เข้าร่วมการถ่ายรูปกับ ครม.นั้น ไม่ได้เป็นสัญญาณของความขัดแย้ง การปรับ ครม.เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิมเป็นนักการเมืองผู้ใหญ่ของพรรค ดำรงตำแหน่งใหญ่ต่างๆ ที่สำคัญมากมาย คงไม่น้อยใจ ที่ลดตัวไปอยู่กระทรวงแรงงาน และน้อมรับในการตัดสินของนายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิมอยู่ตำแหน่งใดก็สามารถทำหน้าที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีและเข้าสภาเพื่อชี้แจงปัญหา และยังคงเป็นกันชนของรัฐบาลเหมือนเดิม
ส.ส.อีสานเสียงอ่อนรับได้โควตาหด
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การปรับ ครม.ครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าโควตาของ ส.ส.อีสานลดลงไป นั่นเป็นเพราะฝ่ายผู้บริหารต้องการคนที่มีความสามารถในเชิงเทคนิคมากกว่าด้านการเมืองเข้าไปทำหน้าที่ จึงให้เห็นภาพการเบียดที่นั่งของ ส.ส. ซึ่งตนในฐานะ ส.ส.อีสานก็พอจะเข้าใจได้ และในพรรคคงไม่มีแรงกระเพื่อมอะไรมากนัก เพราะสถานการณ์รัฐบาลขณะนี้ไม่ดีเลย จะให้สถานการณ์ในพรรคไม่ดีอีกก็ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก “สถานการณ์ของรัฐบาลกำลังเจอปัญหา ทั้งขบวนการจ้องล้มรัฐบาล ขบวนการหน้าการขาว และการไม่รับฟังตุลาการ ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัด ดังนั้นพวกเรา ส.ส.จะต้องช่วยกันประคับประคองให้รัฐบาลอยู่รอดต่อไปให้ได้” สำหรับกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ถูกย้ายให้ไปเป็น รมว.แรงงานนั้น เท่าที่จับอาการเบื้องต้นก็เห็นว่าท่านมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว ถ้าได้มาคุยกับผู้แทนบ้างคิดว่าจิตใจน่าจะเย็นลงบ้าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ก็เกิดอาการน้อยใจบ้างแต่ชั่วครู่ชั่วยาม ร.ต.อ.เฉลิม เป็นผู้ใหญ่พอก็คงจะใช้ประสบการณ์ทั้งการบริหารทางการเมืองเข้ามาช่วยทำงานให้รัฐบาลได้
“วิสาร” รับยงยุทธดันนั่ง มท.
ด้านนายวิสาร เตชะธีราวัฒน์ รมช.มหาดไทย คนใหม่ ได้เดินทางเข้าทำงานที่กระทรวงมหาดไทยเป็นวันแรก โดยมีข้าราชการระดับสูงและบุคคล เข้าร่วมแสดงความยินดีมอบกระเช้าดอกไม้จำนวนมาก รวมถึง พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคมาตุภูมิ นอกจากนี้ น.ส.วิสาระดี เตชะธีราวัฒน์ ส.ส.เชียงราย ลูกสาว ได้นำหลานสาวมาเข้าเยี่ยมห้องทำงานใหม่ของนายวิสารด้วย ทั้งนี้นายวิสาร กล่าวว่า กระแสข่าวที่ว่า ตนได้รับการผลักดันจาก นายยงยุทธ ติยะไพรัช ให้ได้เป็นรัฐมนตรีนั้น ก็ต้องยอมรับ ตนอาจจะห่างหายจากการเมืองไปนาน เพราะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองด้วย ส่วนที่กลุ่มคนเสื้อแดงไม่พอใจในการปรับ ครม.ครั้งนี้นั้น ต้องทำความเข้าใจกัน เหมือนกับการเล่นฟุตบอลที่ควรรู้ว่าจังหวะไหนควรรุก จังหวะไหนควรรับ ยังมีเวลาที่เหลือในการปรับให้เหมาะสม แต่ตนก็พร้อมจะประสานงานกับทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย
“ประชา” ยึดห้องทำงานเก่าเหลิม
ขณะที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าทำงานในทำเนียบรัฐบาลเป็นวันแรก โดยเมื่อมาถึง ได้พูดคุยทักทายกับนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี ที่หน้าตึกบัญชาการ 1 ก่อนจะเดินขึ้นไปสักการะพระพรหมที่ประดิษฐานบนดาดฟ้าของตึกไทยคู่ฟ้า จากนั้นเดินลงมาสักการะศาลพระภูมิ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาลที่อยู่หน้าตึกบัญชาการ ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประชา จะใช้ห้องทำงานที่ชั้น 4 ตึกบัญชาการ 1 ซึ่งเป็นห้องทำงานเดิมของ ร.ต.อ.เฉลิม ทั้งนี้ พล.ต.อ.ประชา กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณนายกรัฐมนตรีที่ให้โอกาสมาทำงานในตำแหน่งนี้ ส่วน ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ที่เคยดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีนั้น ตนและ ร.ต.อ.เฉลิม ได้เข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยกันเมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา จึงได้มีโอกาสพูดคุยกันและขอคำแนะนำจาก ร.ต.อ.เฉลิม โดยตนและ ร.ต.อ.เฉลิม มีความสนิทสนมกันมานาน ทั้งนี้ ร.ต.อ.เฉลิม บอกกับตนว่าเรามีความเป็นกันเอง ดังนั้นถ้ามีสิ่งใดก็สามารถพูดคุยกันได้ ไม่ต้องเกรงใจ
“ก่อแก้ว” เชื่อปรับ ครม.อุดช่องโหว่
นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ภาพรวมของการปรับ ครม.ครั้งนี้ถือว่าดี ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นการปรับเพื่ออุดช่องโหว่ในประเด็นที่รัฐบาลถูกโจมตีอย่างหนักในเรื่องของโครงการรับจำนำข้าว และโครงการน้ำ โดยเห็นได้จากบุคคลากรที่เข้ารับตำแหน่งก็มีความเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น นายยรรยง พวงราช รมช.พาณิชย์ อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ เพราะที่ผ่านมา นายยรรยง เคยเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจที่ตนทำหน้าที่อยู่ ก็พบว่ามีความชัดเจนจากข้อมูลที่เพียบพร้อม หรือ นายวราเทพ รัตนากร รมช.เกษตรและสหกรณ์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ ก็เป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ มีประสบการณ์ในการทำงาน ส่วนนางปวีณา หงสกุล รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สังคมก็จะเห็นว่าท่านได้ช่วยเหลือในสิทธิ เด็ก สตรี และคนชรา มานับ 10 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ารัฐมนตรีที่ถูกปรับออกนั้นไม่มีความสามารถ เพราะอย่าง กรณีของ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ เองก็เป็นคนเก่ง แต่ว่าอาจจะพูดน้อยไปหน่อย แล้วพอโดนโจมตีหนักมากขึ้นจนสังคมเชื่อไปแล้ว การแก้ต่างจึงทำได้ยาก อย่างไรก็ตามการที่รัฐมนตรีหลายคนไม่ได้มาจากพรรคเพื่อไทย ตนก็ยอมรับว่าอาจทำให้การทำงานต่างๆ อาจมีช่องว่างกับ ส.ส.ในพรรคได้ ซึ่งก็เป็นหน้าที่ที่ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องปรับตัวเข้าหากัน
แดงยังข้องใจ ครม.ปู 5 ตั้งท่าถอย
นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทยและแกนนำกลุ่ม นปช. กล่าวว่า การปรับ ครม.ที่ไม่มีชื่อนายจตุพร เป็นรัฐมนตรี แกนนำ นปช.ไม่ได้พูดถึง เรายอมรับอำนาจการตัดสินใจของนายกฯ และการประชุมแกนนำ นปช.นัดหมายก่อนปรับ ครม.นานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งนัดเมื่อนายจตุพรไม่ได้ตำแหน่ง แต่การปรับ ครม.ครั้งนี้มีประชาชนจำนวนมากสะท้อนผ่านผู้แทนฯ ว่าดูเหมือนรัฐบาลถอยทางการเมืองหรือไม่ เพราะเอาคนอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ออกจากรองนายกฯ ไปนั่ง รมว.แรงงาน หรือคุณจาตุรนต์ ฉายแสง ไปเป็น รมว.ศึกษาธิการ ซึ่งไม่ใช่ตำแหน่งที่จะตอบโต้หรือชี้แจงแทนนายกฯ เหมือนตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี อย่างคุณจาตุรนต์ ผมว่าสามารถให้ควบตำแหน่งรองนายกฯ เพื่อคอยชี้แจง ตอบโต้ทางการเมืองด้วยได้ แต่เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว ต่อไปการต่อสู้ทางสภาฯ ของฝ่ายรัฐบาลต้องถอยแน่นอน ขณะที่เกมในสภาของพรรคประชาธิปัตย์รอบจัด เขี้ยวลากพื้น ส่วนแรงกระเพื่อมภายในพรรคเพื่อไทย หลังปรับ ครม.จะไม่กลายเป็นความขัดแย้งภายในพรรค เพราะเมื่อปรับแล้วรัฐบาลก็ต้องเดินหน้าต่อ แต่ผู้ใหญ่ในพรรคควรจะเข้ามารับฟังเสียงสะท้อนของ ส.ส.และชี้แจงสิ่งที่เกิดขึ้นบ้าง ถึงเหตุผลในการปรับ ครม.และการจัดวางตัวบุคคลเป็นรัฐมนตรี เพราะการปรับ ครม.เกิดขึ้นโดยไม่มีใครรู้ตัว จึงอาจทำให้มีความไม่เข้าใจอยู่บ้าง เพราะไม่ได้พูดคุยกันมาก่อน และ ส.ส.ก็มาจากประชาชนหลังฟังคำชี้แจงแล้วจะได้กลับไปตอบคำถามประชาชนในพื้นที่ได้
ร้อง ป.ป.ช.ฟัน “โต้ง” กู้น้ำ 3.5 แสน ล.
วันเดียวกัน นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เดินทางเข้ายื่นหนังสือต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อขอให้ดำเนินการตรวจสอบเพิ่มเติมการกระทำของ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองปลัดกระทรวงการคลัง ในกรณีที่ นายกิตติรัตน์ ได้มอบอำนาจให้ นายพงษ์ภาณุ กระทำการลงนามในสัญญาเงินกู้กับธนาคาร 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ และธนาคารกสิกรไทย รวมเป็นวงเงิน 324,606 ล้านบาท โดยไม่ยอมรับฟังคำพิพากษาของศาลปกครองกลาง ซึ่งถือว่าเป็นการท้าทายอำนาจของกฎหมาย โดยนายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การกระทำของบุคคลทั้ง 2 เข้าข่ายเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จึงขอให้ ป.ป.ช.ดำเนินการตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 มาตรา 250 (2) และ (3) อย่างไม่ชักช้า ภายใน 49 วัน โดยเทียบเคียงกับกระบวนการไต่สวนของศาลปกครองกลาง อย่างไรก็ตาม การลงนามในสัญญาดังกล่าว ได้กระทำก่อนที่จะมีคำสั่งของศาลปกครอง คือ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายนที่ผ่านมา จึงอยากให้ ป.ป.ช.ไต่สวนข้อเท็จจริง เพื่อรวบรวมข้อมูลส่งให้ศาลอาญาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งหาก ป.ป.ช.ไม่ดำเนินการหรือดำเนินการล่าช้า ทางสมาคมฯ จะยื่นเรื่องให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ตั้งคณะกรรมการไต่สวนอิสระ อีกทั้งมั่นใจว่าคดีนี้น่าจะจบลงที่ ป.ป.ช.
ปชป.ลุยยื่นถอด ครม.สัปดาห์นี้
นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ จะรวบรวมรายชื่อ ส.ส.จำนวน 1 ใน 4 เพื่อยื่นถอดถอนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ยกคณะ จากการประมูลงานในโครงการบริหารจัดการน้ำจาก พ.ร.ก.เงินกู้ 3.5 แสนล้าน ของรัฐบาล ภายในสัปดาห์นี้ เนื่องจากที่ผ่านมา ได้รวบรวมรายชื่อของ ส.ส.ได้ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด และสัปดาห์ที่ผ่านมา ยังมีความไม่ชัดเจนในเรื่องการปรับ ครม. แต่ขณะนี้มีความชัดเจนเห็นหน้าค่าตาแล้ว ประกอบกับในสัปดาห์ก่อน มีเรื่องที่ทางภาคประชาชนได้ยื่นร้องเรื่องการบริหาร จัดการน้ำที่เปิดการประมูลงานให้ 4 บริษัทได้งานไปต่อศาลปกครองกลาง ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาออกมาแล้วว่า ต้องให้ภาคประชาชนและคนในพื้นที่นั้นๆ ต้องมีส่วนร่วม โดยการทำประชาพิจารณ์ด้วย และยังพบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมอีกว่า กระทรวงการคลัง ยังดันทุรังเดินหน้ากู้เงิน จาก 4 สถาบันการเงินต่อไป ในวันที่ 30 มิ.ย. ซึ่งเป็นวันหมดอายุของ พ.ร.ก.เงินกู้ ทั้งที่ศาลปกครองกลาง ได้วินิจฉัยไปแล้ว ดังนั้น พรรคจะนำข้อมูลทั้งหมดนี้มาประกอบในคำร้องเพื่อยื่นถอดถอน โดยอาจจะมีการหารือในที่ประชุมวิปฝ่ายค้านอีกครั้ง เพื่อสรุปสาระและดูร่างคำร้องก่อนที่จะยื่นถอดถอน ครม.ยกชุดแน่นอน
“โต้ง” อ้างทำตามขั้นตอน กม.
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า การที่เซ็นสัญญาเงินกู้โครงการบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท กับสถาบันการเงิน 4 แห่ง ยืนยันว่าทำตามหน้าที่และดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายถูกต้อง ภายใต้พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) กู้เงิน 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งการเซ็นสัญญาเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมของโครงการ นอกจากนี้ การกู้เงินเพื่อลงทุนโครงการบริหารจัดการน้ำจะไม่เป็นภาระต่อประเทศ เนื่องจากจะมีการชำระเงินที่ตรงตามเวลาที่กำหนดและไม่มีค่าธรรมเนียม “ผมก็ทำตามหน้าที่ของผม ถ้าไม่เซ็นผมก็ผิด ก็เป็นการทำตามขั้นตอนตามงบที่ได้จัดสรรมา ผมมองว่าเป็นการเซ็นเพื่อเตรียมความพร้อมมากกว่า แต่ก็ดูคำวินิจฉัยของศาลปกครองที่พิจารณามาในบางเรื่องที่จะให้ทำประชาพิจารณ์เราก็จะทำตามที่ศาลสั่ง ส่วนการกู้เงินยืนยันว่าไม่เป็นภาระ เนื่องจากการชำระเงินจะตรงตามงวดและไม่มีค่าธรรมเนียม การเบิกเงินมาลงทุนก็ต้องเป็นไปตามขั้นตอน ไม่เป็นภาระของประเทศแน่นอน” ทั้งนี้ ในเบื้องต้นได้มีการกู้เงินไปแล้วประมาณกว่า 20,000 ล้านบาท เพื่อให้สามารถลงทุนโครงการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำตามแผนที่วางไว้ในการพัฒนาโครงการที่มีความจำเป็นได้ทันที รวมทั้งจัดวงเงินงบประมาณให้พร้อมและเพียงพอในการดำเนินการให้เกิดการลงทุนในอนาคต ส่วนโครงการมีความจำเป็นที่ผ่านการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และการทำรายงานผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) ที่เปิดให้บริษัทเอกชนดำเนินงาน ศาลได้สั่งให้ดำเนินการขั้นตอนเพิ่มเติม การจัดเตรียมวงเงินงบประมาณตาม พ.ร.ก.กู้เงิน 350,000 ล้านบาท ด้วยการลงนามในสัญญาเงินกู้กับสถาบันการเงิน 4 แห่ง ไม่ใช่เรื่องที่เป็นภาระให้กับรัฐบาล เนื่องจากไม่ได้มีการกู้เงินทั้งก้อนมากองไว้ให้เสียอัตราดอกเบี้ยโดยเปล่าประโยชน์ หากมีความล่าช้าในการเบิกจ่ายเงินจะไม่มีภาระต้นทุนต่อภาครัฐ ทั้งนี้จะสามารถเบิกจ่ายเงินได้เมื่อมีการอ้างอิงขั้นตอนการดำเนินการต่างๆ ตามคำสั่งศาลปกครองกลางครบถ้วนแล้ว
วันที่ 2/07/2556 เวลา 8:33 น.