ศาล รธน.ยอม ‘ปู’ เลื่อนแจง 15 วัน กกต.เมินบีบเลือกตั้ง 22 มิ.ย. นัด 30 เม.ย. ถกรัฐบาลชี้ขาด
“กกต.” ลากยาว ไม่สนแรงบีบเร่งจัดเลือกตั้ง 22 มิ.ย. ย้ำยึด 3 โมเดล “20 ก.ค.-17 ส.ค.-14 ก.ย.” นัดถกนายกฯ ปู 30 เม.ย. ชี้ขาดวันกาบัตรใหม่ ขณะที่ “พท.-32 พรรคเล็ก” ไล่บี้ กกต. เร่งจัดเลือกตั้ง 22 มิ.ย. อ้างเสียงส่วนใหญ่หนุน ซัด ปชป.-กปปส.-กกต. สมคบคิดยื้อเลือกตั้ง ด้าน “ปชป.” เตือนรัฐบาลดื้อ เร่งจัดเลือกตั้งเกิดกลียุคแน่ ส่วน “มาร์ค” แจงเบี้ยวประชุมปมเลือกตั้ง ยันมีข้อมีมูลกลุ่มป่วนเตรียมใช้ความรุนแรงจริง อ้างคุย กกต.แล้วไม่ปลอดภัย ขณะที่ “ลุงยิ้ม ตาสว่าง” อ้างโพสต์เฟซบุ๊คยิงมาร์คแค่แซวเล่น ด้าน “ศาล รธน.” ไฟเขียว “ปู” ยืดเวลา แจงปมย้ายถวิลอีก 15 วัน ถึง 2 พ.ค.นี้ ส่วน “สุเทพ” นำม็อบ กปปส.บุก “กฟน.” ชวนร่วมชุมนุมใหญ่ไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ เตรียมประกาศแนวทางต่อสู้ 30 เม.ย. มั่นใจเผด็จศึกได้แน่
กกต.นัดถกนายกฯ 30 เม.ย.
วันที่ 23 เม.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต.แถลงภายหลังการประชุม กกต.ว่า ในวันนี้นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน กกต.ได้แจ้งที่ประชุมทราบถึงการประชุมหัวหน้าพรรคการเมืองว่าเป็นไปอย่างเรียบร้อย มี 58 พรรคการเมืองเข้าร่วมประชุมและมี 31 พรรคได้แสดงความคิดเห็น ซึ่งความเห็นแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่อยากให้เลือกตั้งเร็ว ภายในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ หลังคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งเราก็แจงว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะขณะนี้ยังไม่มีประกาศในราชกิจจาฯ ส่วนกลุ่มที่ 2 เห็นควรให้ชะลอไปก่อน เพื่อให้สถานการณ์สงบเรียบร้อย ดังนั้น กกต.จึงได้ตั้งกรอบแนวทางกำหนดวันเลือกตั้งไว้ 3 แนวทาง คือเลือกตั้งเร็วที่สุดคือวันที่ 20 ก.ค. นอกจากนี้ยังมีวันที่ 17 ส.ค.และ 14 ก.ย. ซึ่งในที่ประชุมพรรคการเมืองและ กกต.ก็เห็นตรงกันว่าควรเลือกตั้งในวันที่ 20 ก.ค.จึงได้ประสานไปยังนายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เพื่อเรียนเชิญนายกฯ และคณะ มาหารือเพื่อกำหนดวันเลือกตั้ง ส.ส.ครั้งใหม่ ในวันพุธที่ 30 เม.ย.เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมชั้น 9 สำนักงาน กกต.โดยเลขาฯ นายกฯ ก็ได้ตอบรับที่จะมาร่วมหารือในวันและเวลาดังกล่าว โดย กกต.จะนำข้อมูลที่เราหารือกับฝ่ายความมั่นคง เมื่อวันที่ 8 เม.ย.ที่ผ่านมา และนำข้อมูลจากการหารือกับพรรคการเมือง เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ร่วมพิจารณากับรัฐบาลด้วย อย่างไรก็ตามเชื่อว่าการหารือดังกล่าวจะได้ข้อยุติวันที่จะออก พ.ร.ฎ.แก้ไขเพิ่มเติมได้ แต่ทั้งนี้ก็คงต้องมาหารือว่าอำนาจในการออก พ.ร.ฎ.จะเป็นของรักษาการตาม พ.ร.ฎ. ทั้ง 2 คน คือ นายกรัฐมนตรีและประธาน กกต. หรือจะเป็นอำนาจของประธานกกต.เพียงคนเดียว
“สมชัย” รับมาร์คโทร.ปรึกษา
นายสมชัย ศรีสุทธิยาการ กกต. กล่าวว่า ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่มาร่วมพรรคการเมืองกับ กกต.นั้น นายอภิสิทธิ์ได้โทร.มาปรึกษาตน และเห็นตรงกันว่าอย่ามาดีกว่า เพราะหากมาแล้วไม่ใช่เรื่องของนายอภิสิทธิ์อย่างเดียว แต่เป็นเรื่องโดยรวม ซึ่งการที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่มาบรรยากาศก็สงบเหมือนกัน เพราะที่ประชุมมีการพูดกระทบกันอยู่ และยังมีผู้ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองเข้ามาอีก ซึ่งไม่ทราบว่าเข้ามาได้อย่างไร ทั้งนี้ นอกจากนายอภิสิทธิ์ และตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ไม่มาแล้ว นายจารุพงษ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ได้มาร่วมเช่นกัน ตนได้สั่งการไปยังสำนักงานให้ประสานกับตำรวจ อีโอดี มาสแกนวัตถุระเบิด ระมัดระวังเส้นทางที่จะเข้ามาสู่โรงแรม ตึกสูง และทางด่วน ซึ่งเป็นหน้าที่ กกต.ที่จะต้องทำเพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ร่วมชุมนุม หากการข่าวออกมาไม่ค่อยดี แต่ละคนก็ต้องดูแลตนเอง ในกรณีระเบิดพลีชีพถึงอย่างไรก็ทำไม่ได้ เพราะมีการตรวจสอบผู้ที่จะเข้าร่วมประชุมอย่างเข้มงวด แต่รูปแบบการทำร้าย หรือกีดกันไม่ให้เข้าร่วมประชุมก็มี อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้าไม่ค่อยปกติ เริ่มจากใกล้ศูนย์ราชการก็มีการยิงกัน และมีหลายกลุ่มมาทั้งกลุ่มหลวงปู่พุทธะอิสระ กลุ่ม กวป. โดยสถานการณ์แล้วอยากให้ทุกคนระมัดระวังตัว ซึ่งตนได้โทรศัพท์หานายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อสอบถามว่าถึงจุดไหนแล้วก็ทราบว่านายสมศักดิ์โดนสกัด ซึ่งผู้เข้าร่วมประชุมก็เข้าช้ากันทุกคน แต่ตนจะประเมินสถานการณ์ก่อนว่าเป็นอย่างไร เมื่อทราบว่าหน้าโรงแรมไม่มีอะไร ตนจึงเคลื่อนเข้าโรงแรมประมาณ 14.30 น. แต่เมื่อไปถึงก็พบยังมีบางกลุ่มอยู่บ้าง
“พรรคเล็ก” จี้ปูถก กกต.จัด ลต.15 มิ.ย.
วันเดียวกัน ที่สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมืองทองธานี กลุ่มพรรคการเมืองขนาดเล็ก 32 พรรค หรือสหพรรคประชาธิปไตย นำโดยนายสุรทิน พิจารณ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยใหม่ เดินทางมาขอเข้าพบ และยื่นแถลงการณ์ถึงน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เพื่อขอให้เร่งรัดในการหารือระหว่างรัฐบาล กับ กกต. เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งโดยเร็ว โดยมี พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เป็นผู้รับหนังสือแทน ทั้งนี้ ทางกลุ่มฯ เห็นว่าจากการเชิญพรรคการเมืองเข้าร่วมหารือถึงการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ร่วมกับ กกต.เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา ยังหาข้อสรุปที่ชัดเจนในเรื่องวันเลือกตั้งไม่ได้ แต่พรรคการเมืองส่วนใหญ่ต้องการที่จะให้มีการเลือกตั้งเร็วที่สุด เพื่อประโยชน์ของประเทศที่กำลังมีข้อติดขัดในการบริหารประเทศ จึงขอให้นายกรัฐมนตรีในฐานะทำหน้าที่รักษาการได้เร่งพิจารณาดำเนินการกราบบังคมทูลฯ ขอพระราชทานพระราชกฤษฎีกากำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 15 มิ.ย.นี้ หรือไม่เกินวันที่ 22 มิ.ย.57 อย่างไรก็ตาม ทางกลุ่มฯมองว่าการหารือกับ กกต.ล้มเหลว เพราะ กกต.เองที่ไม่เปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดสดการประชุม รวมถึงยังไม่มีข้อสรุปใดๆ ยืนยันว่าเห็นด้วยกับการปฏิรูปประเทศ แต่ต้องดำเนินการควบคุมกับการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย และอยากขอร้องให้พรรคประชาธิปัตย์ลงสมัครรับเลือกตั้งที่จะมีขึ้น เพราะถือว่าได้รับงบประมาณในการดำเนินการทางการเมือง เพื่อเป็นการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น การขัดขวางการเลือกตั้ง
“ปึ้ง” อ้างชาติอาเซียนจี้ไทยจัดลต.
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษาศอ.รส. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา ตนได้รับหนังสือจากรมว.ต่างประเทศเมียนมาร์ โดยเป็นร่างหนังสือโดยนายมาร์ตี นาตาเลกาวา รมว.ต่างประเทศอินโดนีเซีย ที่จะเป็นแถลงการณ์ร่วมกันของรมว.ต่างประเทศ ของกลุ่มอาเซียน ซึ่งจะส่งไปยัง 10 ประเทศอาเซียน เพื่อขอรับรองร่างหนังสือฉบับนี้ สำหรับประเทศไทยนั้นตนได้ตอบเห็นด้วยไปเรียบร้อยแล้ว โดยอาเซียนมีความห่วงใย และอยากจะเห็นประเทศไทยแก้ปัญหาโดยการเจรจา ยึดหลักประชาธิปไตย ที่สำคัญที่สุดคืออยากเห็นการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น เป็นทางออกที่ดี ได้แก้ไขนำไปสู่ความปรองดองของประเทศ ซึ่งรมว.ต่างประเทศของอาเซียน ยินดีที่จะให้การสนับสนุนและอยากเห็นประเทศไทยก้าวข้ามปัญหา และยินดีให้การสนับสนุนไทยภายใต้หลักการกฎบัตรอาเซียน โดยขณะนี้ร่างหนังสือดังกล่าวอยู่ในระหว่างการพิจารณาของที่ประชุมการประชุมสุดยอดอาเซียน-จีน ที่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 21-22 เม.ย.ที่ผ่านมาด้วย ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม ผู้นำอาเซียนได้เคยออกแถลงการณ์ร่วมกันมาแล้ว เมื่อ 14 ธ.ค.2556 ส่วนที่นายอภิสิทธิ์กลัวว่า จะมีคนมาทำร้าย จึงไม่มาประชุมร่วมระหว่าง กกต.กับพรรคการเมืองนั้น ตนคิดว่าพอกันเสียทีในการสร้างภาพให้ตัวเองดูดี นายอภิสิทธิ์ ต้องรู้จักรับความจริงแล้วสังคมจะรับได้
ซัด ปชป.-กปปส.-กกต.สมคบคิด
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พรรคประชาธิปัตย์ ไม่เข้าร่วมประชุมกับกกต.และพรรคการเมือง เพื่อกำหนดวันเลือกตั้งใหม่ ว่า อาจเป็นไปตามทฤษฎีสมคบคิด ทั้ง พรรคประชาธิปัตย์ กปปส.และ กกต. โดยเฉพาะนายสมชัย ศรีสุทธิยากร ที่สารภาพว่าเป็นผู้ให้คำปรึกษากับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ต้องมาประชุม ทั้งที่ลำดับการสร้างสถานการณ์ส่วนใหญ่มาจากฝั่งนายสุเทพ เป็นหลัก นี่จึงเป็นแผน แยกกันเดิน ร่วมกันตี ยิงเปิดทาง ให้ลูกพี่หนี โดยการสร้างสถานการณ์ ซึ่งไม่เนียน คนจับพิรุธกันได้มาก นายสมชัย ควรเอาเวลาไปจัดการเลือกตั้ง มากกว่ามาจัดการงานนอกสั่ง ทำในสิ่งที่ธุระไม่ใช่ เพราะพฤติกรรมแบบนี้นอกจากจะทำให้ กกต.อีก 4 คนอึดอัด ประชาชนก็กดดัน ว่าเมื่อไหร่จะมีเลือกตั้ง การกำหนดกรอบวันเลือกตั้งไว้ 3 กรอบ โดยเร็วที่สุด คือ วันที่ 20 ก.ค.นั้นไม่ตรงกับความเห็นของบรรดา 53 พรรคการเมือง เป็นกรอบเวลาที่นานเกินไป ยิ่งดึงเวลาเลือกตั้งยาวนานออกไป ความเสียหายก็จะเกิดกับประเทศชาติมากเท่านั้น กรอบวันเลือกตั้งของ กกต.ที่เร็วที่สุด ควรมีในใจเพื่อไปเสนอกับสังคม เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจในการทำหน้าที่ กกต.ไม่ใช่ประชุมอย่าง สรุปอย่าง แถลงอีกอย่าง เป็นไม้หลักปักเลน
พท.จี้ กกต.จัดลต.กรอบ 45-60 วัน
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ต้องขอขอบคุณ กกต.ที่มีความตั้งใจจะเดินหน้าให้มีการเลือกตั้ง ถือเป็นเรื่องดีที่ได้พูดคุยหาข้อสรุปร่วมกัน แม้จะยังมีความเห็นต่างในเรื่องของกรอบเวลาก็ตาม ซึ่ง กกต.ได้มีการเสนอกรอบเวลาในการเลือกตั้งเร็วสุดคือ 20 ก.ค.หรือ 90 วัน หลังจากหารือร่วมพรรคการเมือง ซึ่งพรรคเพื่อไทยเห็นว่า กกต.ควรดำเนินการให้เร็วระยะเวลา 90 วัน ตามที่พรรคการเมืองได้เสนอกรอบระยะเวลา 45-60 วันหลังประชุมหารือ เพราะทางออกและการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองของประเทศไทย คือการเลือกตั้ง ถ้าหากล่าช้าก็จะกระทบถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปีของประเทศ ทั้งนี้ อยากให้ กกต.แสดงความจริงใจ โดยขอให้กำหนดวันเลือกตั้งให้เร็วกว่ากรอบแรก เพราะต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ความเดือดร้อนของประชาชน รวมถึงการจัดทำงบประมาณประจำปีด้วย กกต.ต้องพิจารณา เร่งกรอบเวลาให้เร็วขึ้น ตามกรอบที่พรรคการเมืองส่วนใหญ่เห็นร่วมกัน ซึ่งหากเร่งการออก พ.ร.ฎ.ขึ้นมา 2-3 สัปดาห์ เชื่อว่าประชาชนจะชื่นชม วันนี้พรรคเพื่อไทยเชื่อว่า ทางออกของประเทศคือการเลือกตั้ง และของฟังเสียงประชาชน จัดการเลือกตั้งให้แล้วเสร็จ เพื่อให้มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่มารับหน้าที่ต่อโดยเร็วที่สุด
เย้ย “มาร์ค” มโนคนลอบสังหาร
นายพร้อมพงศ์ ยังกล่าวถึงกรณี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้เข้าร่วมประชุมกับ กกต.และพรรคการเมือง โดยอ้างเรื่องความปลอดภัย และ นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาระบุว่า มีการนำอาวุธเข้าพื้นที่การประชุม เพื่อหวังก่อเหตุสังหารนายอภิสิทธิ์นั้น เป็นการจินตนาการเกินกว่าความเป็นจริง พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การที่นายอภิสิทธิ์ตัดสินใจไม่เข้าร่วมประชุมในนาทีสุดท้าย เป็นเพราะได้รับคำสั่งมาจาก นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ใช่หรือไม่ โดยมีการสร้างเงื่อนไขอ้างความไม่ปลอดภัย โดยใช้มวลชน กปปส.แจ้งวัฒนะ ที่นำโดย หลวงปู่พุทธะอิสระ มาชุมนุมคัดค้าน หน้าทางเข้าที่ประชุมหารือ เพราะถ้าหากเป็นจริงนายอภิสิทธิ์ควรออกมาชี้แจงต่อสังคม หรือถ้าไม่อย่างนั้นนายอภิสิทธิ์ก็ไม่ต่างจากนางอาย เพราะไม่มีความเป็นสุภาพบุรุษ มีแต่คอยหนีปัญหามาโดยตลอด ทั้งเรื่องการหนีทหาร บอยคอตการเลือกตั้ง และล่าสุดก็หนีการประชุมหาทางออกในการเลือกตั้งอีก
“เหลิม” ตอกมาร์คเวอร์ระเบิดพลีชีพ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะผอ.ศอ.รส. กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ และพรรคประชาธิปัตย์ เวอร์ ที่อ้างว่ามีคนลอบปองร้าย เพราะตนอยู่กองปราบมา 10 ปี ระเบิดพลีชีพจะใช้ต่อเมื่อต้องการฆ่าคนทีเดียวพร้อมกันจำนวนมาก อาทิ กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ฆ่านาวิกโยธิน ซึ่งหากจะมีการฆ่านายอภิสิทธิ์เขาไม่ใช้ระเบิดพลีชีพหรอก เพราะคนทำระเบิดพลีชีพจะตายด้วย แต่เดินเข้าไปใช้ปืนยิงกบาลทีเดียวจบ แล้ววิ่งออกมา ตนยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องจริง ส่วนจะมีคนคิดร้ายกับนายอภิสิทธิ์หรือไม่ตนไม่ทราบ แต่ไม่ถึงกับใช้ระเบิดพลีชีพแน่ อย่างไรก็ตาม การที่นายอภิสิทธิ์ไม่ได้เดินทางไปร่วมหารือกับ กกต.จะไม่กระทบต่อการจัดการเลือกตั้ง กกต.ไม่ต้องสนใจ พรรคไหนไม่ไปก็ไม่ต้องประชุม หน้าที่จัดการเลือกตั้งเป็นของ กกต. อย่าเอาพรรคประชาธิปัตย์มาเป็นตัวตั้ง จนกระทั่งต้องล้มการเลือกตั้ง โดยตนคิดว่าหากมีการเปลี่ยนวิธีการรับสมัครให้สามารถทำทางระบบอินเตอร์เน็ตได้ ส่วนรัฐบาลขอร้องกองทัพ หากกองทัพให้ความร่วมมือจัดการเลือกตั้งในพื้นที่หน่วยทหาร และถ้ารัฐบาลใช้ตนจะแสดงให้ดู ทั้งนี้ ศอ.รส.กำลังตรวจสอบอยู่ว่า กกต.ประวิงเวลาหรือไม่ มีเหตุอันควรเชื่อหรือไม่ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ หากชัดเจนตนจะออกแถลงการณ์ ซึ่งวันนี้ กกต.ยังขะมักเขม้นอยู่ จึงยังไม่คิดจะดำเนินการ แต่ฝากบอก กกต.ว่าการจัดการเลือกตั้งเป็นอำนาจของท่าน กกต.มี 5 คน อย่าให้คนๆ เดียวมาชี้นำ
“ลุงยิ้ม” อ้างแค่แซวเล่น
ด้านลุงยิ้ม ตาสว่าง แกนนำคนเสื้อแดง กล่าวในรายการเจาะลึกทั่วไทย อินไซด์ไทยแลนด์ ทางสปริงนิวส์ ถึงกรณีนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ อ้างถึงสาเหตุที่นายอภิสิทธิ์ เวชาชีวะ หัวหน้าพรรค ไม่เข้าร่วมหารือกับ กกต. และพรรคการเมือง เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย ว่า ยอมรับว่าตนได้เตรียมการให้นายดาชัย อุชุโกศลการ หัวหน้าพรรคพลังประเทศไทย ไปยกป้ายข้อความว่า ถ้าปฏิรูป ต้องปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ก่อนเลือกตั้ง และถ้าจะปฏิรูป ต้องปฏิรูป กกต.ก่อนเลือกตั้ง ซึ่งนายดาชัยได้โทรศัพท์มาบอกตนว่า ที่ประชุมรอนายอภิสิทธิ์แต่ก็ยังไม่มา ขณะนั้นเวลาประมาณ 14.30 น. แล้ว และตนก็เห็นว่าเวลาก็เหลือน้อย ตนจึงโพสต์แซวข้อความไปว่า “ยังไม่เริ่มประชุม เพราะต้องรอนายอภิสิทธิ์ เดี๋ยวสั่งให้พี่เสงี่ยมยิงซักนัด 2 นัด จะได้วงแตกกลับบ้านไปเลย” อย่างไรก็ตาม เห็นว่าไม่น่าจะหยิบข้อความที่โพสต์ดังกล่าวมาเป็นประเด็น เพราะในการประชุมเป็นการรู้กันว่าให้ไปปิดล้อม เพราะเมื่อวานกลุ่มบรรหารก็เข้าไม่ได้ และมีการรับป้ายจากพุทธะอิสระไปแขวน ทุกคนก็รู้ว่าอภิสิทธิ์ตกลงกับกำนันไม่ได้ ทุกคนก็ตกเป็นตัวประกัน
“มาร์ค” ยันมีมูลใช้ความรุนแรงจริง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การที่ตัดสินใจไม่เข้าร่วมการประชุมของ กกต.กับพรรคการเมือง ที่โรงแรมมิราเคิลแกรนด์ เป็นเพราะเหตุผลด้านความปลอดภัย โดยช่วงเช้าตนได้เตรียมประเด็นร่วมกับ นายชำนิ ศักดิเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อจะเสนอที่ประชุมในช่วงบ่าย แต่มีข้อมูลว่าจะมีความพยายามใช้ความรุนแรงในที่ประชุม ซึ่งแน่นอนแม้ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ตนตัดสินใจปรึกษากับทาง กกต. ว่าคิดอย่างไร สุดท้ายเห็นตรงกัน ว่า กกต.มีข้อจำกัดในการดูแล เพราะสถานที่คือโรงแรม และช่วงเช้าก็มีความเคลื่อนไหวตั้งแต่ที่แจ้งวัฒนะจนถึงหน้าโรงแรม รวมทั้งยังมีข้อมูลด้านอื่นที่แลกเปลี่ยนกัน จึงคิดว่าถ้าไปแล้วมีปัญหาคงไม่เป็นผลดีกับใครทั้งสิ้น ส่วนหนังสือที่ลงนามแล้วแจ้งเหตุผลที่ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมได้ ออกหลังจากพูดคุยกันกับ กกต.แล้ว โดย กกต.ก็รับปากว่าจะช่วยชี้แจงด้วย เมื่อถามว่า สาเหตุมาจากเฟซบุ๊คของผู้ใช้ชื่อว่า “ลุงยิ้ม ตาสว่าง” หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า “ก็ส่วนหนึ่งครับ” สำหรับผลการประชุมนั้น ไม่ได้มีอะไรนอกเหนือความคาดหมาย คือพรรคการเมืองต่างๆ ต้องการให้มีการจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ซึ่งตนเองก็เห็นด้วย ถ้าการเลือกตั้งเป็นไปอย่างเรียบร้อย แต่ที่ประชุมก็มีการพูดถึงเพียงการกำหนดวันเลือกตั้งที่มีตัวเลขสมมุติขึ้นมา แต่คำถามที่ยังไม่มีคำตอบ คือ สิ่งที่จะช่วยกันทำให้เรียบร้อยคือ อะไร กกต.เพียงยืนยันว่า เลือกตั้งคราวนี้ไม่โมฆะเหมือนคราวที่แล้ว เช่น ปัญหาการเปิดรับสมัครก็จะมีการสมัครทางไปรษณีย์หรืออินเตอร์เน็ตเป็นทางออก อย่างไรก็ตามไม่มีการยืนยันว่า การเลือกตั้งหลังการสมัครแล้วจะเรียบร้อยอย่างไร เพราะไม่โมฆะด้วยเหตุผลเหมือนคราวเหมือนที่แล้ว กับ “ไม่โมฆะเหมือนกับคราวที่แล้ว” เป็นคนละความหมายกัน ต้องพูดให้ชัด ดังนั้นจึงเป็นหน้าที่ของทุกพรรคการเมือง รวมทั้ง ประชาธิปัตย์ด้วย ที่จะหาคำตอบให้กับประเทศ
“ปชป.” ป้องมาร์คไม่ใช่คนขี้ขลาด
นายจุฤทธิ์ ลักษณวิศิษฏ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวตอบโต้พรรคเพื่อไทยที่ออกมากล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ขี้ขลาดว่า คนขี้ขลาดคือคนที่ไม่ยอมมารับโทษจากคำพิพากษาศาลและคนที่ไม่กล้ายอมรับโทษทั้งที่ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่มีคำตัดสิน โดยมีการปฏิเสธยอมรับอำนาจศาลและยังเตรียมที่จะขอพระบรมราชวินิจฉัยด้วย และขอตั้งข้อสังเกตว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน และ ผอ.ศอ.รส.รู้ได้อย่างไรว่าจะมีการวินิจฉัยว่า ครม.พ้นตำแหน่ง แสดงว่ามีการแทรกแซงสอดแนมการทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ และ ศอ.รส.ทำเกินหน้าที่หรือไม่ ทั้งนี้ทุกฝ่ายมีหน้าที่ต้องน้อมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ผูกพันทุกองค์กรตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ จึงขอถามว่าการจะขอพระบรมราชวินิจฉัยจะใช้รัฐธรรมนูญมาตราใด ดังนั้นรัฐบาลควรหยุดพฤติกรรมมิบังควร และขอให้นายสุรพงษ์ เก็บอาการที่อยากเป็นใหญ่หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์พ้นตำแหน่ง เพราะหาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่ผิดระวังนายสุรพงษ์จะไม่มีพรรคให้ยืน
สวนเลือกตั้งเร็วไม่พ้นกลียุค
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยืนยันว่า ไม่ได้ปฏิเสธกระบวนการเลือกตั้งที่ถูกต้อง ชอบธรรม เพราะเป็นหนึ่งในกระบวนการของระบอบประชาธิปไตย ซึ่งพรรคพร้อมมีส่วนร่วม แต่การเลือกตั้งที่ไม่ถูกต้องชอบธรรม หาทางออกให้ประเทศไม่ได้นั้นเป็นสิ่งที่คนในสังคมต้องพิจารณาร่วมกันว่าจะเดินไปสู่หนทางนั้นหรือไม่ แม้ ก.ก.ต.จะมีแผนงานในการกำหนดวันเลือกตั้งโดยหลายพรรคการเมืองเสนอวันเลือกตั้งโดยเร็วแต่อยากให้พิจารณาว่าการกำหนดวันเลือกตั้งไม่ใช่วิธีการที่จะทำให้บ้านเมืองเดินหน้าได้ เพราะประเด็นสำคัญอยู่ที่จะทำอย่างไรทำให้การเลือกตั้งได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย ซึ่งจะส่งผลไปถึงการยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่ถ้าเริ่มกำหนดวันเลือกตั้งโดยที่ทุกฝ่ายในสังคมไม่ยอมรับ ผลจากการเลือกตั้งก็ไม่ได้รับการยอมรับ มีรัฐบาลที่ไม่ได้รับการยอมรับทำให้วิกฤตวนกลับมาอีกครั้งหนึ่ง จึงแทบเป็นไปไม่ได้ที่การเลือกตั้งที่ประชาชนไม่ยอมรับจะประสบความสำเร็จเพราะจะกลายเป็นการเลือกตั้งของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพื่อประโยชน์ของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น การที่ นายโภคิน พลกุล ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทย ระบุว่า บ้านเมืองจะเกิดกลียุคถ้าเลือกตั้งช้านั้น ความจริงถ้าเลือกตั้งเร็วโดยที่ไม่มีการยอมรับก็อาจเกิดกลียุคได้เช่นเดียวกันเพราะอาจมีการคัดค้านการเลือกตั้ง โดยดูตัวอย่างจากเหตุการณ์ที่เกิดในการเลือกตั้ง 2 ก.พ.57 ที่นำไปสู่การบาดเจ็บล้มตาย ดังนั้นหากยังเดินหน้าการเลือกตั้งต่อไปก็อาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอยอีก หากนายโภคินไม่อยากให้เกิดกลียุคไม่เกี่ยวกับเลือกตั้งช้า หรือเร็วแต่ต้องทำให้การเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย ไม่เช่นนั่นการเลือกตั้งจะกลายเป็นส่วนหนึ่งในการเพิ่มวิกฤตบ้านเมืองโดยเฉพาะการเลือกตั้งเร็วโดยไม่ได้รับการยอมรับจากทุกฝ่าย จึงฝากให้รัฐบาล พรรคเพื่อไทย และ ก.ก.ต.พิจารณา
“สมศักดิ์” ไม่ติดใจมาร์คเบี้ยว
นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ในการประชุมร่วมกับ กกต.และพรรคการเมืองต่างๆ ตนเดินทางมาถึงโรงแรมแล้วแต่ไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะติดกลุ่มผู้ชุมนุมของพระพุทธอิสระ และเวลาประมาณ 14.00 น. นายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต. ก็ได้โทรศัพท์มาหาตนว่า ยังเข้าโรงแรมไม่ได้เช่นกัน ซึ่งนายสมชัยขอให้ทุกคนยึดเรื่องความปลอดภัยของตัวเองเป็นหลัก ดังนั้นตนจึงเดินทางกลับพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งในการประชุมตนก็ตั้งใจเสนอแนวคิดว่าไม่อยากให้ติดกับดัก หรือจะมีกลุ่มไหนมาขัดขวางการเลือกตั้ง ตั้งแต่การรับสมัคร จนถึงการลงคะแนน อยากให้เดินไปตามกระบวนการประชาธิปไตย ซึ่งทุกคนก็เห็นด้วยว่าต้องปฏิรูปประเทศไทย แต่การปฏิรูป วันนี้ รธน.2550 ยังอยู่ หากขาดกลไกระบบรัฐสภา และนิติบัญญัติ ก็ไม่สามารถจะปฏิรูปได้ และเมื่อ รธน.ยังอยู่ ซึ่งไม่มีข้อไหนบอกว่าให้มีสภาประชาชน หากทำพิมพ์เขียวมาและเร่งเปิดสภา 1 ปีหรือไม่เกินปีครึ่ง ระบบองคาพยพจะไปครบ จากนั้นเริ่มนับ 1 ประเทศไทยใหม่ ส่วนกรณีที่นายอภิสิทธิ์ ไม่มา ตนไม่ติดใจ ไม่เช่นนั้นระบบจะไปไม่ได้ ตนคิดว่าในเมื่อ รธน.ยังอยู่ เราก็ต้องปฏิบัติให้ถูกตามกฎหมาย
ศาล รธน.ยืดเวลา “ปู” แจงปมย้ายถวิล
วันเดียวกัน ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาคำขอของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ขอขยายเวลาไปอีก 15 วัน ในการชี้แจงเกี่ยวกับคำร้องของ นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว.สรรหา กับพวก ที่ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จากกรณีที่แต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี ออกจากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ หรือไม่ โดยศาลรัฐธรรมนูญ มีมติให้ขยายเวลาการชี้แจงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกไปอีก 15 วัน ตามที่ร้องขอ จากเดิมที่จะครบกำหนดวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ออกไปถึง 2 พ.ค.57 พร้อมมีคำสั่งให้นัดไต่สวนพยานบุคคลทั้งสองฝ่ายในวันที่ 6 พ.ค.นี้ ส่วนบรรยากาศการรักษาความปลอดภัยบริเวณโดยรอบศาลรัฐธรรมนูญ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจตราอย่างเข้มงวด พร้อมทั้งมีหน่วยเก็บกู้และตรวจวัตถุระเบิด ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มาดูแลความปลอดภัย ซึ่งมีการนำเครื่องตรวจวงจรอิเล็กทรอนิกส์มาหาวัตถุแปลกปลอม รวมถึงมีการนำสุนัขตำรวจช่วยในการตรวจสอบด้วย
“เหลิม” ปัดเตรียมขอนายกฯ พระราชทาน
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กล่าวว่า กระแสข่าวที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมทำหนังสือขอพระราชทานนายกฯ หากศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนั้น ไม่เป็นความจริง ตนไม่เคยพูด คนเอามาบอกเป็นพวกเพ้อเจ้อ เพียงแต่เราคิดกันว่าครั้งหนึ่งศาลรัฐธรรมนูญเคยตัดสินนายสมัคร สุนทรเวช หลุดจากตำแหน่งนายกฯ คนเดียว แต่ครม.ไม่หลุด หากคราวนี้ศาลรัฐธรรมนูญทำเกินกว่ากฎหมายกำหนด บอกว่าต้องออกไปทั้งหมดพวกตนจะพึ่งพระบารมี เพราะเป็นพสกนิกรเหมือนกัน หากทุกข์ร้อนสามารถพึ่งพระบารมีได้ โดยจะทำหนังสือกราบบังคมทูลฯ ไม่ให้ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท แต่ไม่ใช่ขอนายกฯ พระราชทาน ส่วนหนังสือกราบบังคมทูลฯ จะทำในนามศอ.รส.หรือส่วนตัว ตนกำลังคิดอยู่ แต่จริงๆ ใช้อดีตส.ส.จำนวน 9 คนก็ได้ มีตนเป็นแกนนำ ไม่เห็นต้องทำในนามศอ.รส.เลย เพราะเป็นพสกนิกรได้รับความเดือดร้อนจากเรื่องนี้ ตนมีความเชื่อว่าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินเกินกว่ากำหนด ฝืนมาตรา 181 จึงไม่มีที่พึ่งที่ไหน ถามว่าตนไม่มีสิทธิ์หรือ ส่วนที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. เอาเนื้อหาการประชุมภายในศอ.รส.ไปพูดบนเวทีปราศรัยนั้น พูดไม่ตรง ไม่มี แต่เรื่องการตั้งทีมจับกุมนายสุเทพนั้นเป็นเรื่องจริงล้านเปอร์เซ็นต์ เพราะตำรวจมีหน้าที่ต้องจับกุม ไม่ต้องไปสั่งเขา เพราะมีหมายจับ
“สุเทพ” นำม็อบ กปปส.บุก “กฟน.”
ส่วนบรรยากาศการชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข (กปปส.) ที่สวนลุมพินี เมื่อเวลา 10.20 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. และแกนนำ กปปส. อาทิ นายอิสสระ สมชัย นายวิทยา แก้วภราดัย นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ นายชุมพล จุลใส นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ พร้อมด้วยนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำกลุ่มสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ได้นำมวลชนจากเวทีสวนลุมพินีจำนวนหนึ่ง พร้อมทั้งมีมวลชนจาก สรส. เดินขบวนจากลานพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 โดยจะเดินไปตามถนนพระราม 4 เข้าถนนวิทยุ เข้าถนนสารสิน และเข้าถนนหลังสวน ไปยังสำนักงานใหญ่ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ถนนชิดลม เพื่อดำเนินกิจกรรมพบปะพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อแลกเปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ แลกเปลี่ยนเรื่องการปฏิรูป ซึ่งถือเป็นวันที่ห้าของการเดินขบวนรณรงค์ดังกล่าว
ชวนร่วมชุมนุมใหญ่ไล่รัฐบาล
นายสุเทพ กล่าวว่า มาวันนี้เพื่อเทียบเชิญให้ไปร่วมกันขจัดเภทภัยให้บ้านเมืองในการนัดชุมนุมใหญ่ครั้งต่อไปแต่การต้อนรับของ กฟน. จะทำให้มวลมหาประชาชนมีกำลังใจมากขึ้น ซึ่งเราต้องการปฏิรูปประเทศไทย มีหลายเรื่องที่ต้องแก้ไขและปฏิรูป แต่เราคิดว่าต้องเอาเรื่องจำเป็นเร่งด่วนและทำไม่นาน เราสู้มาเกือบ 6 เดือนแล้วและได้แสดงพลังประชาชนอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ แต่เขาก็ยังไม่ออกไป ซึ่งเราพยายามให้ข้อมูลต่อประชาชนผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งการเดินคาดว่ารวมแล้วกว่า 500-600 กิโลเมตร ทำให้คนรู้ความจริงมาก และมีจำนวนคนเข้าร่วมกับมวลมหาประชาชนเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ทั้งที่ค่าใช้จ่ายสูงมากแต่เรายืนหยัดมาได้ 6 เดือนแล้ว จึงปรึกษากับคณะกรรมการ กปปส.ว่า ครั้งนี้เอาให้จบ รู้แพ้รู้ชนะรู้ดำรู้แดง และได้ขอให้มวลชนเตรียมตัวชุมนุมใหญ่ครั้งสุดท้าย จากเดิมตั้งใจจะให้จบวันที่ 30 เม.ย. แต่จากการพูดคุยก็ขอปรับเวลาเลื่อนออกไปอีก และวันที่ 30 เม.ย. จะประกาศแนวทางให้ชัดเจน ซึ่งมั่นใจว่าครั้งนี้จะออกกันมามากและอยู่กันหลายวัน และการต่อสู้นัดเผด็จศึก การเสนอแนะความรู้การต่อสู้จากรัฐวิสาหกิจมีประโยชน์กับเรามาก เพราะมีประสบการณ์การต่อสู้มากกว่าพวกตน
วันที่ 24/04/2557 เวลา 6:35 น.