“ประยุทธ์”ปัดพัลวันฟัน“สุเทพ” ตั้งรัฏฐาธิปัตย์
“ประยุทธ์” จุกคอหอย ปัดพัลวันฟัน “สุเทพ” ตั้งรัฏฐาธิปัตย์ โบ้ย ตร.-ศอ.รส. ดำเนินการหากผิดจริง แนะดูข้อกฎหมาย อ้างมีคำตอบในตัวอยู่แล้ว ลั่นไม่สัญญาไม่ปฏิวัติ ย้ำอย่าบีบเลือกข้าง ขณะที่ “พท.” ฉะบิ๊กตู่อย่า 2 มาตรฐาน จี้จัดการสุเทพ เหมือนเสื้อแดงแยกดินแดน ด้าน “ศอ.รส” ฉุน “ปลัดยุติธรรม” ซัดกระทำไม่เหมาะสม เปิดห้องตอนรับกบฏสุเทพ เตรียมร่อน จม.เรียกปลัดทุกกระทรวงถกด่วน ห้ามต้อนรับ-หนุน กปปส. ส่วน “พล.อ.นิพัทธ์” ไม่ฟัง เปิดห้องในกระทรวงกลาโหมถก “สุเทพ” ชื่นมื่น หลังนำม็อบ กปปส.บุก พลิ้วแจงรัฐาธิปัตย์แค่สมมุติ ขณะที่ “พุทธะอิสระ” หอบเงินแสนจ่ายค่าทางด่วน ก่อนบุกกองปราบฟ้องดำเนินคดี “โกตี๋” จ้อสื่อนอกจาบจ้วงเบื้องสูง ด้าน “นายกฯ” เต้นสั่ง ผบ.ตร.ฟันโกตี๋หมิ่นเบื้องสูงทันที ส่วน “ผบ.ตร.” พล่านสั่งล่าตัว “โกตี๋” ด่วน เตือนใครแพร่คลิปผิดอาญา ม.112 คุกถึง 15 ปี ขณะที่ “โจกแดง” ถีบหัวส่งยัน “โกตี๋” ไม่เกี่ยวเสื้อแดง แต่ข้องใจคลิปตัดต่อ ด้าน “ปู” โพสต์เฟซบุ๊คโวยศาล รธน.ไร้เหตุผลรับคำร้องสอยพ้นนายกฯ ชี้ซ้ำซ้อนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ฉะ 2 มาตรฐาน เตือนสังคมโลกจับตา
“บิ๊กตู่” จุกอก ”สุเทพ” ตั้งรัฏฐาธิปัตย์
วันที่ 9 เม.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) กล่าวว่า ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ประกาศตั้งรัฏฐาธิปัตย์นั้น อยากให้ไปดูความหมายว่าแปลว่าอะไร มีหลายคนออกมาแปลความหมายของคำนี้ แต่ต้องไปดูว่า ตามกฎหมายสามารถทำได้หรือไม่ หากผิดกฎหมายก็ดำเนินคดี จุดยืนของกองทัพ คือ ไม่เข้าข้างคนที่ทำผิดกฎหมายทุกพวกทุกฝ่าย ซึ่งวันนี้ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) นำเรื่องนี้ไปพูดคุยกัน ขณะที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็กำลังดำเนินคดี ตนคงไม่ไปวิจารณ์กรณีที่นายสุเทพ ประกาศจัดตั้งรัฏฐาธิปัตย์ว่าเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เพราะสิ่งใดก็ตามที่ผิดกฎหมายก็ไม่เหมาะสมทั้งนั้น มันมีคำตอบในตัวอยู่แล้ว ถามว่า ขณะนี้มีใครทำความผิด พ.ร.บ.ความมั่นคงบ้าง มีกันหลายกลุ่ม หลายฝ่าย ไม่ใช่เฉพาะนายสุเทพ เพียงอย่างเดียว ตนไม่ได้เข้าข้างสุเทพ หรือ ณัฐวุฒิ หรือจตุพร หรือใครทั้งนั้น ทหารต้องทำหน้าที่ไป แต่ในวันนี้ไม่ใช่หน้าที่ของทหาร ซึ่งทหารก็ต้องมาทำ ถามว่าเป็นหน้าที่ของใคร ของฝ่ายบริหารและฝ่ายตำรวจใช่หรือไม่ หน้าที่ของทหารตามรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจน ทหารไม่สามารถไปจับกุมใครมาดำเนินคดีได้ ซึ่งคนที่จะจับได้ก่อนคือตำรวจ ก็เข้าไปจับ เพราะนายสุเทพ ก็อยู่ในม็อบ แต่พอจับไม่ได้ก็บอกให้ทหารไปจับ มันถูกต้องหรือไม่ ซึ่งคนที่ดำเนินการก่อนคือ ตำรวจ โดย ศอ.รส.สั่งการไป รวมถึงอธิบดีดีเอสไอ ทำไมไม่ไปไล่ให้คนที่มีหน้าที่โดยตรงไปทำงาน ตนไม่เข้าใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมาลงที่ทหารหมด ไม่ว่าจะรบกับศัตรูนอกประเทศ หรือในประเทศเอง บางพวกไม่ชอบใจว่าทหารมายุ่งกับการเมือง อยากถามว่า ยุ่งที่ไหน เพราะตนอยู่ดีๆ ตนทำหน้าที่ตามคำสั่งและกฎหมายที่มีอยู่ ยืนมาอย่างนี้ตลอด
ลั่นไม่สัญญาไม่ปฏิวัติ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ทุกวันนี้มีหลายเรื่อง หลายคนพูดในสิ่งที่ผิดกฎหมาย สถาบัน เรื่องกบฏ ซึ่งแบ่งแยกเป็น 2 เรื่อง คือ รัฏฐาธิปัตย์ และ แบ่งแยกประเทศ อยากให้พูดกันหมด และนำมาแก้ไขปัญหา ไม่ใช่แก้กันทีละข้าง หากแก้กันทีละข้างจะไม่สามารถแก้ไขได้ ส่วนแนวทางการแก้ไขปัญหา ต้องไปถามฝ่ายบริหาร ฝ่ายการเมือง และรัฐบาล เมื่อถามว่า เมื่อมีการตั้งรัฏฐาธิปัตย์ได้ ผบ.ทบ.จะรายงานตัวต่อนายสุเทพหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขาตั้งได้หรือยัง ถ้าตั้งไม่ได้ก็อย่าไปคิด และสื่อบอกเองว่า ผิดกฎหมาย และตั้งไม่ได้ จะมาถามให้เสียสมองทำไม เมื่อถามว่า ถ้าแก้ไขปัญหาไม่ได้ทหารจะออกมาปฏิวัติรัฐประหารหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า เขายอมหรือไม่ก็ให้ไปถามเขา ที่มาโวยวายกันอยู่ทุกวันนี้จะสู้กันให้ได้ ให้ตายไปกันข้าง เมื่อถามย้ำว่า ถ้าประชาชนฆ่ากันตายทหารค่อยออกมาปฏิวัติใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องที่ตนจะตอบ ถ้าตอบอย่างนั้น สื่อจะนำไปเขียนว่าไม่ห่วงประชาชน ปล่อยให้ประชาชนตายก่อนแล้วค่อยออกมาเป็นอัศวินขี่ม้าขาวยึดอำนาจ อยากให้ใช้สติปัญญา เหตุผลในการแก้ไขปัญหา เคารพกฎหมายก็จะแก้ไขปัญหาได้ ส่วนวิธีการนอกกฎหมาย ไม่ต้องกังวล อย่างไรก็ตาม ตนไม่สัญญากับใครทั้งสิ้นว่า ใครทำอะไร หรือไม่ทำอะไร อย่างไรก็ตาม ตนไม่อยู่ข้างไหนทั้งนั้น อย่ามาเลือกข้างให้ ตนจะอยู่ข้างความถูกต้องชอบธรรม เคารพกฎหมาย และปฏิบัติงานด้วยความเสียสละ อดทน เหมือนที่อดทนอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งตนก็ไม่ได้มีความสุข
พท.ซัดบิ๊กตู่ 2 มาตราฐาน
นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ระบุ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ประกาศตั้งรัฏฐาธิปัตย์ ต้องดูตามข้อกฎหมาย แต่ถ้าหากผิดกฎหมายก็ต้องให้ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) เป็นผู้ดำเนินการจับกุม หรือไม่ก็กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นผู้จัดการ แต่ไม่ใช่ทหารแน่นอน ว่า เทียบเคียงเสื้อแดง ติดป้ายแยกดินแดน ทหารแจ้งความ แต่ พอนายสุเทพประกาศตั้งรัฏฐาธิปัตย์ บอกว่า ให้ฝ่ายอื่นจัดการ วันนี้กองทัพต้องยืนหลักให้แน่น อย่าเป็นไม้หลักปักเลน ถ้าเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐานแบบนี้ ก็ต้องอยู่อย่างอึดอัด จนกว่าจะเกษียณอายุราชการ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในตำแหน่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งก็ทำได้ดีมาโดยตลอด สังคมจับตาดู ถ้าเสื้อแดงแค่ติดป้าย ทหารแจ้งความ แต่ สุเทพ ประกาศย้ำทุกคืน จะตั้งตนเป็นรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ จะเป็นผู้แต่งตั้งผู้นำประเทศ ทูลเกล้าฯ และรับสนองพระบรมราชโองการเอง น่าจะเข้าข่ายพยายามล้มล้างการปกครองตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญมาตรา 68 และผิดกฎหมายอาญามาตรา 113 ข้อหากบฏต่อแผ่นดิน อีกทั้งยังหมิ่นเหม่ต่อการจาบจ้วงล่วงละเมิดต่อองค์พระประมุขตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 พล.อ.ประยุทธ ในฐานะทหารของชาติ มีหน้าที่ในการดูแลความมั่นคงของประเทศปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ควรมีมาตรการที่เด็ดขาดต่อพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมและผิดกฎหมายของนายสุเทพทันทีอย่าบอกข้อกฎหมายไม่ชัด หรือให้ฝ่ายอื่นจัดการ
“ปึ้ง” ขู่ฟัน ขรก.ต้อนรับสุเทพ
นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รักษาการรองนายกรัฐมนตรีและรมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษาศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) กล่าวว่า ที่นายสุเทพ จะยึดอำนาจการปกครองให้เป็นรูปแบบรัฏฐาธิปัตย์นั้น ขอกล่าวเตือนข้าราชการทุกกระทรวงว่าอย่าเข้าร่วมชุมนุม หรือให้การสนับสนุนกลุ่ม กปปส.อย่างเด็ดขาด และขอให้ทำตามหน้าที่และอย่าให้การต้อนรับหากมีกลุ่ม กปปส.ไปชุมนุมอยู่หน้ากระทรวงหรือสถานที่ราชการ เนื่องจากกลุ่ม กปปส.แสดงออกอย่างชัดเจนว่าจะล้มล้างระบอบประชาธิปไตย หากใครสนับสนุนจะเป็นการผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งตนได้เตรียมนำเรื่องดังกล่าวเข้าหารือในที่ประชุมศอ.รส.แล้ว และเตรียมเชิญปลัดกระทรวงทุกกระทรวงเข้าร่วมประชุม เพื่อให้ทราบแนวทางปฏิบัติ จะได้ไม่กระทำผิดกฎหมาย ส่วนกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) รับพิจารณาดำเนินคดีเพื่อเอาผิดนายสุเทพกับพวกรวม 58 คน ในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 เป็นครั้งที่สอง หลังจากปราศรัยเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ แต่ไม่ได้ดำเนินคดีกับกลุ่มเสื้อแดง ที่ประกาศแบ่งแยกดินแดนนั้น มองว่าไม่เป็นการเลือกปฏิบัติ เนื่องจากถ้อยคำปราศรัยของนายสุเทพมีความชัดเจนอยู่แล้วว่า เป็นกบฏ และย้ำว่าจะดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างเข้มงวด
ร่อนหนังสือถึงปลัด ก.
ทั้งนี้มีรายงานว่า นายชัยเกษม นิติสิริ รักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ตำหนิปลัดกระทรวงยุติธรรมและข้าราชการที่ออกมาต้อนรับกลุ่ม กปปส. ที่ไปปิดล้อมกระทรวงยุติธรรมเมื่อวานนี้ (8 เม.ย.) ขณะนี้ศอ.รศ.มีหนังสือด่วนถึงปลัดกระทรวงทุกกระทรวงเพื่อเรียกประชุมที่ ศอ.รส.ในวันที่ 17 เม.ย. เนื่องจากไม่ต้องการให้มีภาพการออกมาต้อนรับและให้การสนับสนุน กปปส. จากหน่วยงานราชการใดๆ อีก
ตำหนิ “ปลัดยุติธรรม-ขรก.”
นางสาวสิริมา สุนาวิน คณะทำงานศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ ศอ.รส. แถลงถึงกรณีที่ ปลัดกระทรวงยุติธรรมและข้าราชการลงมาร่วมประชุมในลักษณะให้การรับรองนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ภายหลังจากนำแนวร่วม เดินทางไปที่กระทรวงยุติธรรม เมื่อวันที่ 8 เมษายนที่ผ่านมา ว่าการกระทำของปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นเรื่องที่ต้องตำหนิเพราะเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสมเพราะปลัดกระทรวงยุติธรรมมีฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ส่วนนายสุเทพและแกนนำคนอื่นๆ อยู่ในฐานะผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีในข้อหากบฏ ศอ.รส.จึงได้เชิญปลัดกระทรวงทุกกระทรวงมาประชุมเพื่อกำชับและตักเตือน รวมถึงทำความเข้าใจในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการขณะที่สถานการทางการเมืองยังไม่ปกติให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ในวันที่ 17 เม.ย.นี้ โดยย้ำว่าปลัดกระทรวงทุกคนต้องเข้าประชุมด้วยตนเอง นอกจากนี้ ศอ.รส.ได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้น และเห็นควรให้มีการจัดการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้กระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งล่าสุดรายงานของธนาคารโลกคาดการณ์ว่าในปี 2557 เศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวต่ำที่สุดในอาเซียน เนื่องจากปัญหาการเมืองในปัจจุบัน
“มาร์ค” ป้องเทือกตั้งรัฏฐาธิปัตย์
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคไม่สนับสนุนการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ แต่เห็นว่าปัญหาที่มีการพูดถึงรัฏฐาธิปัตย์ขึ้นมา เป็นเพราะเกิดจากการตอบโต้กันไปมา หลังจากที่รัฐบาลประกาศว่าหากศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลแล้วจะไม่ยอมรับ จึงมีการพูดถึงการที่ประชาชนจะเข้ามาดูแลเพื่อพิทักษ์รัฐธรรมนูญ ส่วนตัวเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะทุกคนควรที่จะเคารพรัฐธรรมนูญ และหากทุกคนเคารพ เชื่อว่าปัญหานี้ก็จะจบ ดังนั้นรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีไม่ควรจะปล่อยให้มีการคุกคามองค์กรอิสระ และควรเร่งหาทางพูดคุยกับนายสุเทพ เพื่อหาทางออกของประเทศ ก่อนที่สถานการณ์ในบ้านเมืองจะบานปลาย หากปล่อยไว้จะสุ่มเสี่ยงต่อความรุนแรง ซึ่งขณะนี้ทุกฝ่ายรวมทั้งมิตรประเทศอย่างสหรัฐอเมริกาที่มาพบตน ก็ห่วงใยและอยากเห็นการพูดคุยเพื่อให้กระบวนการเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย
กปปส.บุกกระทรวงกลาโหม
ส่วนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. ที่สวนลุมพีนี เมื่อเวลา 10.30 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. พร้อมด้วยแกนนำ กปปส. ได้ตั้งขบวนรถยนต์ พร้อมด้วยรถหกล้อ รถโดยสารปรับอากาศ 3 คัน และรถปราศรัย นำมวลชน เดินทางไปยังกระทรวงกลาโหม (กห.) เพื่อกดดันและเรียกร้องให้ข้าราชการออกมายืนเคียงข้างประชาชน ต่อมาเวลา 11.20 น. กลุ่มผู้ชุมนุม กปปส.ได้เคลื่อนขบวนมาถึง ขณะที่นายสุเทพได้ไปสักการะศาลหลักเมืองที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกัน โดยได้ผูกผ้าสามสีถวายศาลหลักเมืองจำลอง และสักการะเสาหลักเมือง เพื่อความเป็นสิริมงคล จากนั้นนายสุเทพได้เดินกลับมาที่หน้ากระทรวงกลาโหม เพื่อเจรจากับเจ้าหน้าที่ทหารเพื่อขอเข้าไปพบพูดคุยกับ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมี พ.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ เป็นผู้เจรจากับนายสุเทพและนำเรื่องไปเรียนยังปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมกับนายสกลธี ภัททิยะกุล แกนนำ กปปส.
“นิพัทธ์” เปิดห้องเจรจา “สุเทพ”
ต่อมาเวลา 12.30 น. เจ้าหน้าที่ทหารได้อนุญาตให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พร้อมด้วยแกนนำเดินทางเข้าพบกับ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม ที่ห้องแถลงข่าว กระทรวงกลาโหม แต่มีข้อแม้ว่าห้ามไม่ให้สื่อมวลชนเข้าไปทำข่าวแต่อย่างใด โดยนายสุเทพ กล่าวว่า ขอบคุณที่ให้โอกาสในวันนี้ ซึ่งวัตถุประสงค์ของการต่อสู้ ยืนยันกับปลัดกระทรวงกลาโหมว่าการต่อสู้ไม่ได้เป็นไปเพื่อผลประโยชน์เพื่อส่วนตัว แต่เห็นว่าประเทศต้องปฏิรูปโดยทันที ซึ่งอยากเห็นข้าราชการ ประชาชน ร่วมมือกัน โดยไม่มีนักการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งกระทรวงกลาโหมนั้นมีบทบาทสำคัญ เพราะมีกำลังกำลังถึง 3 เหล่าทัพ ซึ่ง พล.อ.นิพันธ์ เอง ยินดีที่จะไม่ปิดกั้นข้อมูลให้กำลังพลทราบ
แจงรัฏฐาธิปัตย์แค่สมมุติ
ขณะที่ พล.อ.นิพันธ์ กล่าวว่า เห็นใจกำลังพลทั้งทหาร ตำรวจ ที่เหนื่อยล้าจากเหตุการณ์ความวุ่นวายทางการเมือง โดยขอให้นายสุเทพหยุดการเคลื่อนไหวช่วงสงกรานต์ โดยนายสุเทพ รับปากว่าทางกลุ่ม กปปส.จะไม่เคลื่อนไหวในระหว่างวันที่ 12-15 เม.ย.นี้ อย่างแน่นอน ด้าน พล.อ.นิพัทธ์ กล่าวว่า ยินดีที่เจ้าหน้าที่จะได้พักผ่อนในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งประชาชนด้วย พร้อมให้นายสุเทพชี้แจงเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ โดยนายสุเทพ กล่าวว่า เรื่องนี้ยังไม่เกิดขึ้น เพียงแต่หากเป็นการสมมุติขึ้นว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระทำขัดรัฐธรรมนูญ ทำให้ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ประเทศไทยจะเกิดสุญญากาศ อำนาจอธิปไตยจะกลับคืนสู่ประชาชน สามารถใช้มาตรา 3 ตั้งรัฏฐาธิปัตย์ด้วยความร่วมมือจากทุกฝ่าย และจัดตั้งสภานิติบัญญัติและสภาประชาชนเพื่อปฏิรูปบ้านเมืองต่อไป
แวะ มท.เจอมือดียิงปืนต้อนรับ
จากนั้น นายสุเทพ ได้เดินทางต่อมายังกระทรวงมหาดไทย เพื่อพบปะกับสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทำหน้าที่เฝ้าพื้นที่อยู่ภายในและนอกบริเวณของกระทรวงมหาดไทย อย่างไรก็ตาม ขณะที่นายสุเทพ พร้อมด้วยแกนนำกำลังเดินเข้าประตูกระทรวงมหาดไทย ได้เกิดมีเสียงดังคล้ายปืนขึ้น 1 นัดออกมาจากชายไม่ทราบฝ่าย ทำให้การ์ดของ กปปส. และเจ้าหน้าที่ สรส.ไปจับกุมตัวและนำชายคนดังกล่าวไปสอบสวน ด้านนายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ แกนนำ กปปส. กล่าวว่า ขณะนี้การ์ด กปปส.กำลังสอบสวนชายที่ก่อเหตุดังกล่าวเบื้องต้นถึงสาเหตุของการกระทำในครั้งนี้ ก่อนที่จะส่งตัวต่อไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อให้สอบสวนตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป ต่อมานายสุเทพ พร้อมด้วยแกนนำ กปปส.ได้พามวลชนเคลื่อนออกจากกระทรวงมหาดไทย และมุ่งหน้ากลับไปยังสวนลุมพินีแล้ว
หอบเงินแสนจ่ายค่าทางด่วน
ส่วนความเคลื่อนไหวของหลวงปู่พุทธะอิสระ ได้นำนายระวี รุ่งเรือง แกนนำเครือข่ายชาวนาไทย พร้อมด้วยชาวนาและมวลชน กปปส. เวทีแจ้งวัฒนะ เดินทางไปกระทรวงการคลัง ถนนพระราม 6 เพื่อยื่นหนังสือขอให้นายนริศ ชัยสูตร อธิบดีกรมธนารักษ์ ตรวจสอบที่ดินราชพัสดุที่ว่างเปล่าให้ชาวนาเช่าทำกินในราคาที่เป็นธรรมโดยไม่ผ่านคนกลาง อย่างไรก็ตามระหว่างการเคลื่อนขบวนไปยังถนนพระราม 6 โดยใช้ทางด่วนแจ้งวัฒนะ หลวงปู่ฯให้ขบวนรถทั้งหมดจอดรอก่อนที่จะลงไปชำระค่าทางด่วนให้รถทุกคันที่ขับขึ้นทางด่วน หลังก่อนหน้านี้กรมทางหลวงได้ร้องขอให้มีการดำเนินคดีกับขบวนรถผู้ชุมนุมที่ไม่ชำระค่าผ่านทาง โดยหลวงปู่ฯ ระบุว่าได้เตรียมเงินมา 100,000 บาท เพื่อชำระค่าผ่านทางให้กับขบวนรถ โดยขอให้ทางด่วนตรวจสอบและส่งบิลค่าผ่านทางย้อนหลังให้เพื่อจะได้ชำระค่าผ่านทางให้ครบทุกคันด้วย
บุกกองปราบ จี้จับ “โกตี๋” หมิ่นสถาบัน
จากนั้น หลวงปู่ฯ ได้นำมวลชนมาที่หน้ากองบังคับการกองปราบปราม เพื่อยื่นหลักฐานซีดีคำพูดของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ แกนนำเสื้อแดง จ.ปทุมธานี ที่จาบจ้วงหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ เพิ่มเติมจากที่ยื่นเรื่องไว้ครั้งก่อนเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่ผ่านมา โดยมี พ.ต.ท.จอม สิงห์น้อย สว.กก.1 บก.ป. มารับหนังสือและหลักฐาน ทั้งนี้ พ.ต.ท.จอม กล่าวว่า เบื้องต้นมีปัญหาว่านายโกตี๋เปลี่ยนที่อยู่ไปเรื่อย อย่างไรก็ตาม พ.ต.ท.จอม ได้รับปากกับหลวงปู่ฯ ว่าจะออกหมายเรียกนายวุฒิพงศ์ มารับทราบข้อหาได้ภายใน 5 วัน ทั้งนี้หลวงปู่ฯ กล่าวว่า หากภายใน 5 วัน กองปราบฯ ยังไม่ออกหมายเรียก “โกตี๋” จะมาปักหลักที่หน้ากองปราบฯ ตั้งแต่เวลา 09.00 น. และอาจจะค้างคืนจนกว่าทางตำรวจออกหมายเรียก ต่อจากนั้นหลวงปู่ฯ พามวลชนเดินเท้ารณรงค์ร่วมหนุน 3 สภาตั้งแต่หน้ากองปราบฯจนถึงย่านถนนลาดพร้าว
ปชป. ลั่นดำเนินคดี “โกตี๋”
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้มอบหมายให้ฝ่ายกฎหมายของพรรคทำคำร้องไปยัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศอ.รส. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ให้ตรวจสอบกรณีที่ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนต่างประเทศพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และให้แจ้งความดำเนินคดีที่กองบังคับการกองปราบปราม รวมทั้งกำลังพิจารณาดำเนินคดีทั่วประเทศด้วย เนื่องจากเป็นการสะท้อนแนวคิดหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่มีการกระทำมาต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มแกนนำคนเสื้อแดง นักวิชาการเสื้อแดง จนมาถึงนายโกตี๋ ซึ่งเป็นภัยความมั่นคงที่เจ้าหน้าที่รัฐต้องเร่งจัดการ เพราะหากปล่อยให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ประเทศไทยจะอยู่ในภาวะไม่มั่นคงทางการเมืองและการปกครอง เพราะเป็นสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนมีการนำข้อมูลเท็จมาให้ร้ายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และในวันพรุ่งนี้ (10 เม.ย.57) นางสาวมัลลิกา บุญมีตระกูล รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ จะเดินทางไปยื่นคำร้องถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.เพื่อให้เอาจริงเอาจังกับการให้ร้ายและดูหมิ่นสถาบันด้วย
แดงถีบส่ง “โกตี๋” ไม่เกี่ยว นปช.
นางธิดา ถาวรเศรษฐ แกนนำกลุ่ม นปช. กล่าวว่า แต่เดิมนายวุฒิพงศ์ เป็นมวลชนคนเสื้อแดง แต่ไม่สามารถรับผิดชอบคำพูดหรือการกระทำของเขาได้ เนื่องจากขบวนการของเราเป็นเสรีชน มันไม่ได้มีการควบคุม และชัดเจนว่านายวุฒิพงศ์ ไม่ได้ขึ้นกับ นปช. เพราะเราเป็นองค์กรที่ชัดเจนว่าสู้โดยสันติวิธี และสู้เพื่อประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข นายวุฒิพงศ์ นั้นไม่เคยเข้ามาร่วมกับเราเลย ถามว่าจะรับผิดชอบเขาได้ไหม ก็คงไม่ได้ แต่ถามว่าเราพยายามพูดเน้นย้ำเสมอเพื่อเตือนคนนั้นคนนี้ เราพยายามแล้ว แต่ว่าเราไม่ใช่กองทัพ จะไปห้ามไม่ให้คนพูดหรือทำอะไรมันไม่ได้ ฉะนั้นเราไม่อยากให้มันมีปัญหา แต่เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วก็ต้องให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย โกตี๋ เขาพูดจริงหรือไม่ ต้องเริ่มต้นก่อน มีตัดต่อหรือไม่ อันนี้ก็ต้องให้ความเป็นธรรมเขา ส่วนที่ 2 ก็ต้องว่าไปตามเนื้อผ้า อะไรก็ตามที่มันผิดกฎหมายก็คือผิด เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของคนที่วุฒิภาวะไม่เพียงพอ อาจจะไม่รู้ว่าจะทำอะไร หรือพูดอะไรคล้าย ๆ กับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ที่บอกว่าจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์นั่นเอง นอกจากนี้การดึงสถาบันพระมหากษัตริย์มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองนั้น ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะต้องให้ท่านอยู่เหนือการเมือง ประชาชนทะเลาะกันก็ทะเลาะกันไป
“นายกฯ” สั่ง ผบ.ตร.ฟันโกตี๋
นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม สั่งการให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีทำหนังสือถึง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้ดำเนินคดีอาญากับนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ (โกตี๋) ด้วยปัจจุบันได้ปรากฏคลิปเผยแพร่ทางสื่อต่างๆ ซึ่งมีเนื้อหาในลักษณะที่อยู่ในประการที่จะเข้าข่ายกระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามประมวลกฎหมาย โดยเฉพาะคลิปที่มีการเผยแพร่ของนายวุฒิพงศ์ ดังนั้น นายกรัฐมนตรีจึงได้มีคำสั่งให้สืบสวนข้อเท็จจริงและสอบสวนหาตัวผู้กระทำความผิดและบุคคลที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายอาญา โดยหนังสือดังกล่าวได้ส่งถึง ผบ.ตร. แล้ว ทั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีมีการเผยแพร่วีดีโอคลิปตามสื่อต่างๆ ที่นายวุฒิพงศ์ ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว VICE NEWS สื่อต่างประเทศเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศและมีการพาดพิงสถาบัน
ผบ.ตร.เต้นสั่งล่าตัว “โกตี๋” ด่วน
พ.ต.อ.หญิง วิชญ์ชยากร ณิชาบวร รอง โฆษก ตร. กล่าวว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ได้รับการรายงานจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ว่ามีการเผยแพร่คลิปวีดีโอข้อความคำพูดของ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ โกตี๋ อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ม.112 ทางเว็บไซต์ยูทูบ โดย ผบ.ตร. ได้เรียกประชุมและมีสั่งการเร่งด่วน ดังนี้ ให้ บก.ปอท. ประสานกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อปิดกั้นการเข้าถึงคลิปวีดีโอดังกล่าว ทางกระทรวงฯ ได้รับเรื่องแล้วและกำลังดำเนินการที่เกี่ยวข้อง มอบหมาย พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. เป็นหัวหน้าคณะทำงานสืบสวนสอบสวน และให้ พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นรองหัวหน้า ดำเนินการในการสืบสวนสอบสวน เพื่อเร่งพิสูจน์ทราบและจับกุมผู้กระทำความผิดโดยเร่งด่วน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอแจ้งเตือนมายังพี่น้องประชาชนว่าการเผยแพร่หรือส่งต่อคลิปวีดิโอดังกล่าว อาจถือเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา ม.112 ซึ่งต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปีนอกจากนี้ยังอาจถือเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ด้วยอีกส่วนหนึ่ง
ศาล รธน.ยังไม่กำหนดวันชี้ขาดปู
ส่วนกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญเตรียมวินิฉัยคำร้องของวุฒิสภา ที่ให้พิจารณาสถานภาพนายกรัฐมนตรี กรณีแต่งตั้งโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติโดยมิชอบนั้น นายเชาวนะ ไตรมาส เลขาธิการสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีจะครบกำหนดส่งเอกสารชี้แจงข้อกล่าวหา ในวันที่ 18 เมษายนนี้ หลังจากรับเอกสารชี้แจงแล้ว คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาอีกครั้งว่า จะดำเนินขั้นตอนการไต่สวนอย่างไร ซึ่งยังไม่สามารถกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนได้ เนื่องจากเป็นอำนาจของคณะตุลาการ ส่วนกรณีกลุ่ม กปปส.และกลุ่ม นปช.ประกาศนัดชุมนุมใหญ่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยคำร้องดังกล่าวนั้น ขณะนี้ศาลยังไม่ได้ขอความร่วมมือหน่วยงานความมั่นคงเพื่อขอกำลังรักษาความปลอดภัย โดยขอประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
“ปู” ติงศาล รธน.รับคำร้องสอยพ้นนายกฯ
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ระบุว่า จากการที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์รับคำร้องกรณีที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ว. สรรหาและคณะ ยื่นเรื่องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของดิฉัน กรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในครั้งนี้ ดิฉันได้ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการสร้างปรากฏการณ์และบรรทัดฐานใหม่ในการบริหารราชการของไทย เพราะถือเป็นครั้งแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นองค์กรอิสระ รับคดีที่เกี่ยวข้องกับการบริหารงานบุคคลมาพิจารณา ทั้งๆ คดีศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งให้คืนตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติแก่นายถวิล เปลี่ยนศรี ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการตามคำสั่งศาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาสถานะของดิฉันในขณะนี้นั้น ดิฉันได้พ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 180 (2) แล้ว สืบเนื่องจากการยุบสภา และได้คืนอำนาจการตัดสินใจในทางการเมืองตามวิถีทางในระบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยในปัจจุบันดิฉันปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 181 เท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณารับคำร้องดังกล่าว มาวินิจฉัยให้เกิดความซ้ำซ้อนกับบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญที่มีอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะเป็นคำวินิจฉัยที่ขัดต่อบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเสียเองแล้ว คำวินิจฉัยที่ขาดหลักการความเป็นสากลในเรื่อง “หลักนิติธรรม” อาจจะกลายเครื่องมือของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในทางการเมืองอีกด้วย
โวยอย่า 2 มาตรฐาน
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุต่อว่า ตามหลักการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจนั้น อำนาจนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการจะต้องมีความสมดุลกัน และในปัจจุบันมีหน่วยงานและสถาบันที่ทำหน้าที่ดังกล่าวอยู่แล้ว และหากทุกฝ่ายทำหน้าที่โดยยึดหลักการดังกล่าว ก็จะทำให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปอย่างราบรื่น และท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความขัดแย้งเช่นปัจจุบัน สถาบันที่มีความเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญควรต้องตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารโดยยึดหลักการ และหน้าที่ตามขอบเขตที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการ และที่สำคัญจะต้องไม่สร้างความแตกแยกให้กับสังคมด้วยการดำเนินการใดๆ ในลักษณะสองมาตรฐาน ขอให้ทุกฝ่ายทำงานโดยยึดหลักการที่ถูกต้อง เป็นธรรม และเป็นสากล เพื่อให้คนรุ่นหลังได้มีหลักยึด และให้ประเทศไทยสามารถตอบคำถามของสังคมโลกได้อย่างภาคภูมิค่ะ
วันที่ 10/04/2557 เวลา 5:33 น.