แดงรับท้าวัดพลังแพ้กราบเท้า
“โจกแดง” รับท้า “กปปส.” วัดพลังมวลชน วันศาล รธน.ชี้ชะตาปูปมเด้งถวิล ลั่นใครแพ้กราบเท้า ขณะที่ “ดีเอสไอ” เด้งรับสอบ “สุเทพ” กบฏตั้งรัฏฐาธิปัตย์ เล็งฟันกราวรูดแกนนำ กปปส.สมรู้ร่วมคิด ด้าน “พท.” ตามขย้ำซ้ำเทือกตั้งรัฏฐาธิปัตย์ ผิดรัฐธรรมนูญ-กฎหมายอาญา-ละเมิดพระราชอำนาจ ปลุก ปชช.ลุกต้าน พร้อมสั่งสาวกทั่วประเทศลุยฟ้องผิดกบฏ ส่วน “เฉลิม” เย้ยเทือกฆ่าตัวตาย ประกาศตั้งรัฏฐาธิปัตย์มัดเป็นกบฏชัด ขณะที่ “ปึ้ง” โร่ฟ้องนานาชาติเทือกผุดรัฏฐาธิปัตย์หวังยึดอำนาจรัฐบาล โอ่ “มะกัน-จีน-อาเซียน” ดันหลังปู ด้าน “นายกฯ ปู” หน้าระรื่น อ้างนานาชาติไม่ยอมรับรัฏฐาธิปัตย์ ชี้ผิด กม. วอนเทือกหันหน้าเจรจา ดักคอ ผบ.ทบ.เชื่อมีจุดยืน คงรู้หน้าที่ตัวเอง ส่วน “สุเทพ” ไม่สน นำมวลชน กปปส. เดินสายเปิดหน่วยราชการ ชวน ขรก.ล้มระบอบทักษิณ ประเดิม ยธ. ส่วน “ปลัด ยธ.” เปิดห้องต้อนรับอบอุ่น
“นายกฯ” ร่วมงาน 127 ปี กห.
วันที่ 8 เม.ย. ความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อเวลา 07.00 น. ได้เดินทางมาเป็นประธานในพิธีวันสถาปนากระทรวงกลาโหมครบรอบ 127 ปี ที่กระทรวงกลาโหม โดยมี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการเหล่าทัพร่วมพิธี โดยในการจัดงานวันสถาปนากระทรวงกลาโหมมีพิธีสำคัญ ประกอบด้วย การบวงสรวงปืนใหญ่โบราณจำนวน 8 กระบอก พิธีเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา และพิธีเปิดน้ำพุ บริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม รวมถึงการจัดกิจกรรมบริจาคโลหิต โดยหลังจากเสร็จพิธี ทางน.ส.ยิ่งลักษณ์ พล.อ.นิพัทธ์ และ ผบ.เหล่าทัพได้ร่วมรับประทานอาหารเช้าพร้อมหารือร่วมกันประมาณ 30 นาทีก่อนที่ ผบ.เหล่าทัพจะเดินทางกลับโดยไม่ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนแต่อย่างใด สำหรับการจัดงานสถาปนากระทรวงกลาโหมได้มีการจัดกำลังทหารของกระทรวงกลาโหมจำนวน 3 กองร้อย และชุดกองร้อยควบคุมฝูงชนจำนวน 2 กองร้อยจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล 6 (บก.น.6) ร่วมกันรักษาความปลอดภัยรอบกระทรวงกลาโหมอย่างเข้มงวด พร้อมกับมีการปิดถนนด้านหน้ากระทรวงกลาโหม เพื่อตั้งแถวทหารกองเกียรติยศ 3 เหล่าทัพ โดยการจัดงานเป็นไปด้วยความเรียบร้อย ไม่มีกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางมายังกระทรวงกลาโหมแต่อย่างใด
ถกทูตมะกันไม่เอาปฏิวัติ
จากนั้น น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมด้วยนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกฯ และ รมว.ต่างประเทศ ได้ร่วมประชุมหารือกับนางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และผู้ช่วย รมต.ต่างประเทศสหรัฐ ที่กระทรวงกลาโหม เกี่ยวกับสถานการณ์ในไทยเป็นเวลากว่า 40 นาที โดยสหรัฐได้มีการทำหนังสือแจ้งให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์รับทราบว่า จะไม่ยอมให้เกิดการปฏิวัติรัฐประหารในประเทศไทย เพราะไม่ใช่เป็นแนวทางออก จึงอยากให้แก้ไขปัญหาโดยสันติวิธี ไม่อยากให้การปฏิวัติเป็นการแก้ปัญหา
โวสหรัฐ-จีน-อาเซียน ค้ำเก้าอี้ปู
นายสุรพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้สถานภาพของนายกฯ และ ครม.ดีขึ้น หลังจากนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ประกาศจุดยืนในการจัดตั้งรัฏฐาธิปัตย์ ด้วยการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ครม. และสภาประชาชน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สหรัฐ จีน และประเทศในแถบอาเซียน ก็มีความเป็นห่วงสถานการณ์ภายในประเทศของไทย ทั้งนี้ได้แปลคำพูดของนายสุเทพ คำต่อคำให้กับทูตทุกประเทศที่อยู่ในประเทศไทย ให้ได้รับทราบถึงคำแถลงการณ์ของนายสุเทพ การแถลงของนายสุเทพถือเป็นกบฏ พยายามดึงข้าราชการมาเป็นเครื่องมือเพื่อยึดอำนาจรัฐบาล จึงจะต้องหารือกับ ศอ.รส. อีกครั้งว่าจะใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงดำเนินกับนายสุเทพอย่างไร หรือขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยจะมีการดำเนินการให้ถึงที่สุด และขอเรียกร้องนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ให้มาสู่ระบอบประชาธิปไตย อย่าสนับสนุนนายสุเทพ และยืนยันว่า รัฐบาลไม่ได้สองมาตรฐานและพร้อมจะดำเนินการกับ กปปส.และ นปช. หากทำผิดกฎหมาย
ถอดเฝือกนั่งรถเข็นถก ครม.
ต่อมาเวลา 11.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางที่โรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน จ.นครปฐม เพื่อเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่ห้องประชุมชั้น 1 อาคารโรงเรียนนายร้อยตำรวจสามพราน โดยก่อนการประชุม ครม. นายกฯ จะร่วมรับประทานกลางวันกับบรรดา ครม.เป็นก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาลิ้มเหล่าโหงว เยาวราช ซึ่งเป็นร้านประจำ อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่าวันนี้นายกฯ มีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส และไม่ได้สวมเฝือกอ่อนแบบถอด (Air Cast) เหมือนทุกวัน แต่ยังคงนั่งรถเข็นเหมือนเช่นเดิม
ตั้งรัฏฐาธิปัตย์ต้องยึด กม.
ภายหลังประชุม ครม. น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ประกาศจะจัดตั้งรัฏฐาธิปัตย์นั้น ถ้าอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย คงจะไม่มีคำถามนี้เกิดขึ้น แต่นายกรัฐมนตรีตามกรอบกฎหมายเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการทูลเกล้าฯ ในส่วนของครม.วันนี้เราต้องยึดกฎหมาย ถ้าบ้านเมืองไม่มีกฎหมายแล้ว เราจะตอบนานาประเทศได้อย่างไรว่าเราจะใช้กฎหมายอะไรเพื่อเป็นบรรทัดฐานให้กับสังคม ถ้าเราไม่ยึดหลักกติกาใครก็สามารถตั้ง ครม. หรือตั้งสภานิติบัญญัติในการปกครองได้ ดังนั้นสิ่งสำคัญคือการได้รับการยอมรับ การได้รับความน่าเชื่อถือจากนานาประเทศ จึงอยากให้ประชาชนช่วยกันหาทางออก เรายังเห็นด้วยกับการพูดคุย ให้มีการพูดคุยกันอย่างสันติ เพราะวันนี้เศรษฐกิจได้รับผลกระทบ ถ้าเราไม่ได้แก้เรื่องของความน่าเชื่อถือของความเป็นประชาธิปไตยที่จะเป็นการแก้ไขปัญหาระยะยาว เป็นพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาเพื่อให้ได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ และเป็นพื้นฐานในการมีบรรทัดฐาน กฎหมายตามกรอบของรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ทำให้เราได้รับการยอมรับได้
เชื่อ ผบ.ทบ.มีจุดยืนของตัวเอง
น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะ รองผู้อำนวยการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ควรจะมีจุดยืนเรื่องตั้งรัฏฐาธิปัตย์ เพราะจริงๆ แล้ว ท่านก็ควรรู้ว่าท่านควรปฏิบัติหน้าที่อย่างไร การดูแลของฝ่ายความมั่นคงต้องปฏิบัติอย่างเท่าเทียมกัน คงไม่ต้องถามคิดว่าท่านมีคำตอบในใจอยู่แล้วในส่วนของกลุ่ม คปท.ที่มีการชุมนุมข้างทำเนียบรัฐบาลและมีการใช้อาวุธยิงจนทหารได้รับบาดเจ็บนั้น ในการดูแลทำเนียบรัฐบาลทาง ศอ.รส.มอบหมายให้กองทัพบกดูแลสถานที่ตรงนั้นอยู่แล้ว เชื่อว่าการดูแลของทหารและทำงานร่วมกันภายใต้ ศอ.รส.จะปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่
“เหลิม” ชี้รัฏฐาธิปัตย์มัดเทือกกบฏ
ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) กล่าวว่า ในที่สุดนายสุเทพก็เปิดเผยพฤติกรรมที่แท้จริงว่าสิ่งที่เคลื่อนไหวมาทั้งหมดมีคนกำกับอยู่เบื้องหลัง นายสุเทพไม่ได้หลุดที่พูดเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ แต่เกิดจากความไม่เข้าใจ ตนไม่อยากใช้คำพูดว่าโง่ นายสุเทพจะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้อย่างไร การแสดงออกมาเช่นนี้ถือว่าเป็นที่ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท นายสุเทพต้องเซ็นรับสนองพระบรมราชโองการก่อนนำความกราบบังคมทูล แต่ถามว่า กปปส.ใครตั้ง ถ้าไม่ใช่ตั้งเอง ข้อหากบฏชัด พอพูดเรื่องรัฏฐาธิปัตย์อีกตอนนี้จึงเรียกว่าเติมเต็ม ผมทำงานง่ายขึ้น พยานหลักฐานไม่ต้องหา แค่ถอดเทปคำปราศรัยที่พูดเรื่องรัฏฐาธิปัตย์ก็จบ ขั้นตอนรายละเอียดนายสุเทพสารภาพสิ้น วันนี้นายสุเทพฆ่าตัวตาย จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ฉิบหายไปด้วย อย่างไรก็ตาม ผมอยากถามว่าไม่อายบ้างหรือ เขามีแต่เรียกร้องให้นายกฯ มาจากการเลือกตั้ง แต่มาเรียกร้องให้นายกฯ เป็นคนกลาง คนนอก ใครก็ตามที่อยู่เบื้องหลังขอให้เลิกคิดอย่ามายุ่งบ้านเมืองจะได้สงบ
ขู่ค้นรัง คปท.ติดอาวุธ
ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวต่อว่า ที่กลุ่ม กปปส.และ นปช.เตรียมนัดชุมนุมใหญ่ ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพนายกรัฐมนตรีนั้น เชื่อว่าสงบ ถ้าตนยังทำหน้าที่ ผอ.ศอ.รส.อยู่เรื่องมวลชนปะทะกันไม่มี ตอนนี้นายสุเทพมีหน่วยขึ้นตรงคือ คปท.เป็นกองกำลังติดอาวุธ ตนกำลังตามพวกที่วางระเบิดรถยกของตำรวจ ขณะนี้ได้เบาะแสแล้ว ทั้งนี้ ตนจะประชุมพร้อมทั้งหารือกับฝ่ายทหาร ซึ่งเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน ตนได้แต่งตั้งทหารเป็นเจ้าพนักงานเหมือนกับตำรวจแล้ว จากเดิมที่เป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงาน โดยจะให้ทหารเข้าไปช่วยดูแล ตรวจตราค้นอาวุธกลุ่ม คปท.และทุกพื้นที่ที่ประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคง ส่วนคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) นั้น สมัยพรรคประชาธิปัตย์บริหารกรุงเทพมหานคร สร้างอุโมงค์ทุจริต 16 โครงการ ป.ป.ช.เอาไปเก็บไว้ไหน เรื่องยังอยู่หรือไม่ หรือจะเก็บไว้ให้คดีขาดอายุความ ทั้งที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฟ้องแล้ว เรื่องอยู่ที่ ป.ป.ช. ตนจึงอยากเรียกร้อง ป.ป.ช.ตอบในเรื่องนี้ด้วย
“ธาริต” เด้งรับ พท.ฟันสุเทพกบฏ
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้เดินทางมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมนำซีดีบันทึกการปราศรัยของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. เมื่อวันที่ 5 เม.ย. มายื่นต่อนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายสุเทพ กับพวกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 เนื่องจากประกาศตัวเป็นรัฏฐาธิปัตย์ จะแต่งตั้งนายกฯ และคณะรัฐมนตรี นำขึ้นทูลเกล้าฯ และจะเป็นผู้รับสนองพระบรมราชโองการเอง โดยนายธาริต กล่าวว่า เรื่องนี้ทางดีเอสไอ สำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้รวบรวมข้อมูลและติดตามมาโดยตลอด หลังจากนี้จะมอบหมายให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษไปตรวจสอบคำปราศรัยของนายสุเทพ และพฤติการณ์ทั้งหมด เนื่องจากก่อนที่นายสุเทพจะออกมาปราศรัยได้มีการประชุมร่วมกับแกนนำคนอื่นๆ และยังเป็นมติของที่ประชุมด้วย จึงถือว่าผูกพันกับแกนนำทุกคน ไม่ใช่ความผิดเฉพาะตัวนายสุเทพคนเดียว
ออกแถลงการณ์ถล่มรัฏฐาธิปัตย์
วันเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคฯ นายโภคิน พลกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคฯ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ร่วมกันอ่านแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย โดยนายโภคิน กล่าวว่า กรณีที่นายสุเทพประกาศตั้งตนเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เพื่อเสนอทูลเกล้าฯ แต่งตั้งนายกฯ คนกลาง ถือเป็นการทำผิดรัฐธรรมนูญและกฎหมาย ดังนี้ 1.เป็นการทรยศต่ออำนาจปวงชนชาวไทยและพระมหากษัตริย์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 เพราะนายสุเทพไม่ใช่รัฐสภา ครม. หรือศาล แต่เป็นกบฏซึ่งมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 และ 116 2.เป็นการทรยศต่อระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญมาตรา 2 ที่บัญญัติว่า ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การกระทำและการประกาศของนายสุเทพจึงเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ มาตรา 2 และมาตรา 6 ที่บัญญัติว่า รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ 3.เป็นการล่วงละเมิดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 ที่บัญญัติว่า องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และรัฐธรรมนูญมาตรา 195 บัญญัติว่า บทกฎหมาย พระราชหัตถเลขา และพระบรมราชโองการอันเกี่ยวกับราชการแผ่นดิน ต้องมีรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ เว้นแต่ที่มีบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในรัฐธรรมนูญนี้ ดังนั้น ผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการจึงได้แก่ รัฐมนตรีหรือบุคคลอื่นที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้เท่านั้น ดังนั้น การที่นายสุเทพกำหนดตัวเองเป็นรัฏฐาธิปัตย์ จึงเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญ ล่วงละเมิดต่อองค์พระมหากษัตริย์อย่างชัดแจ้ง 4.ปวงชนชาวไทยมีสิทธิและหน้าที่ต่อต้านและพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย และอำนาจปวงชนชาวไทย และพระมหากษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 69 ที่บัญญัติว่า บุคคลย่อมมีสิทธิ์ต่อต้านโดยสันติวิธี ซึ่งการกระทำใดๆ ที่ให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
ปลุก ปชช.ต้านเทือกยึดอำนาจ
นายโภคิน กล่าวว่า ดังนั้น ประชาชนที่รักประชาธิปไตยมีหน้าที่ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์และการปกครองระบอบประชาธิปไตย มีสิทธิ์ต่อต้านโดยสันติวิธีต่อการกระทำของนายสุเทพ พรรคเพื่อไทยจะดำเนินการทุกวิถีทางตามกรอบรัฐธรรมนูญและกฎหมาย เพื่อรักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ขอเรียกร้องให้ประชาชน หน่วยงานรัฐ ใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 69 มาตรา 70 ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อต่อต้านนายสุเทพอย่างเข้มแข็ง อย่ากลายเป็นเครื่องมือของนายสุเทพ รวมทั้งขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ อย่าร่วมมือ หรือสมคบคิดกับนายสุเทพ เพราะจะเข้าข่ายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พรรคเพื่อไทยเห็นว่า ทางออกของประเทศเพื่อให้การใช้อำนาจรัฏฐาธิปัตย์เป็นไปโดยถูกต้อง คือการเลือกตั้ง ดังที่ศาลรัฐธรรมนูญเคยมีคำวินิจฉัยที่ 9/2549 วันที่ 8 พ.ค.49 จึงเรียกร้องให้ กกต. และรัฐบาล รีบตราพระราชกฤษฎีกาแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไปขึ้นใหม่โดยด่วน.
สั่งสาวกทั่ว ปท.แจ้งความจับ “สุเทพ”
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษก พท. แถลงภายหลังการประชุม ส.ส.พท. ว่า ที่ประชุมมีการหารือกรณีที่นายสุเทพ ได้ประกาศตัวเป็นองค์รัฏฐาธิปัตย์นั้น เป็นการจาบจ้วง และละเมิดพระราชอำนาจ ถือเป็นกบฏของแผ่นดินผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 113 และมาตรา 116 ซึ่งสมาชิกได้หารือกันเรื่องนี้พร้อมมีความเห็นที่จะต้องไปแจ้งความเอาผิดนายสุเทพ และพวกในข้อหากบฏทุกพื้นที่ เพื่อเป็นการปกป้องไม่ให้ละเมิดพระราชอำนาจ และเป็นการปกป้องประชาธิปไตย เพราะเป็นการกระทำที่ท้าทายกฎหมาย ซึ่งสมาชิกพรรคจะมีการดำเนินการในช่วงสัปดาห์นี้ถึงสัปดาห์หน้า นายพร้อมพงศ์ กล่าวว่า ทั้งนี้สมาชิกได้อภิปรายในประเด็นที่นายสุเทพ และฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลกำลังดำเนินการเพื่อนำไปสู่การเป็นกบฏล้มการเลือกตั้ง ล้มรัฐบาล ซึ่งสมาชิกพรรคเองก็ไม่ยอมรับนายกฯ มาตรา 7 ที่ประชุมจึงได้ขอให้สมาชิกพรรคได้ไปชี้แจงกับประชาชน ถึงผลเสียของการที่มีนายกฯ นอกรัฐธรรมนูญ เพราะความเดือดร้อนของประชาชนจะต้องสะท้อนมาจาก ส.ส. ซึ่งเป็น ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง อีกทั้งหากมีนายกฯ มาตรา 7 จะกระทบต่อเศรษฐกิจและการลงทุน นานาชาติจะบอยคอตนายกฯ ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงขอให้ประชาชนช่วยกันออกมาแสดงความคิดเห็น และไม่เห็นด้วยกับนายกฯ มาตรา 7 ด้วย
“เต้น” จี้กองทัพแสดงจุดยืน
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ ในฐานะเลขาธิการ นปช. กล่าวว่า แนวคิดรัฏฐาธิปัตย์ ของนายสุเทพ นั้น ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยมองว่าคำพูดดังกล่าว แสดงให้เห็นว่านายสุเทพ เป็นคนป่วย ต้องพบจิตแพทย์ แต่สถานการณ์ขณะนี้ทำให้เห็นว่า ระบอบประชาธิปไตยเป็นผู้ป่วยเสียเอง จึงมีพื้นที่ให้นายสุเทพ ออกอาละวาดได้ ทั้งนี้ตนมองว่าสิ่งที่นายสุเทพ พูดจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อได้รับความร่วมมือจากกองทัพ ที่ออกมายึดอำนาจเท่านั้น เพราะจะไม่มีประชาชนคนใด ยอมให้นายสุเทพ ไปฉีกรัฐธรรมนูญ และยึดอำนาจของประชาชนไว้ที่คนๆเดียว ดังนั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญที่กองทัพ ต้องออกมาแสดงท่าที หรือตอบคำถามว่า การที่นายสุเทพ ประกาศออกมาเช่นนั้น หมายความว่าได้มีการตกลง หรือมีสัญญาณว่า กปปส.ได้รับความร่วมมือจากกองทัพใช่หรือไม่ ทั้งนี้คำตอบจากกองทัพเป็นสิ่งที่มีผลต่อบรรยากาศและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง ถ้านายสุเทพ ทำสำเร็จผบ.ทบ.จะยินยอมให้นายสุเทพ สถาปนาตัวเองเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดแห่งรัฐ อย่างที่ประกาศใช่หรือไม่ ผบ.ทบ.ยินดีที่จะไปรายงานตัวตามคำสั่งของนายสุเทพ แล้วนำกองทัพของชาติไปอยู่ใต้อำนาจของนายสุเทพ อย่างไม่มีเงื่อนไขใช่หรือไม่ เรื่องนี้มีความจำเป็นที่ท่านต้องตอบ และคำตอบของกองทัพจะมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง ต่อเป้าหมายทางการเมืองของนายสุเทพ
รับท้าวัดพลังมวลชน
นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ส่วนการชุมนุมของแต่ละกลุ่มที่เชิญชวนมวลชนของตัวเองมาร่วมแสดงพลังอีกครั้ง มีความชัดเจนแล้วว่าทั้งสองฝ่ายรอการชุมนุมในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานภาพของนายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี จากกรณีการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ซึ่งถ้าศาลรัฐธรรมนุญวินิจฉัยให้นายกฯ และ ครม.พ้นจากตำแหน่ง นปช.ก็จะออกมาแสดงพลัง ทั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่องค์กรอิสระมีส่วนร่วมในการกำหนดวันชุมนุมใหญ่ทางการเมือง โดยผู้ชุมนุมไม่ต้องรอฟังแกนนำ แต่ขอให้รอฟังศาลรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ตามตนมองว่ากรณีดังกล่าว ไม่มีเหตุอะไรที่ศาลต้องมาวินิจฉัย จึงเห็นว่าการกระทำของศาลรัฐธรรมนูญเป็นการรับลูกนายสุเทพ และจะมีส่วนร่วมในการสถาปนารัฏฐาธิปัตย์ ถือว่าศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้ทำหน้าที่ขององค์กรอิสระ แต่จะเป็นสะพานเชื่อมให้นายสุเทพ เดินไปยังเป้าหมายสูงสุดทางการเมือง ขณะที่นายกฯ และ ครม.ชุดปัจจุบันได้พ้นจากตำแหน่งไปแล้วตั้งแต่วันประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเหมือนกับกรณีของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ที่พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.และนายกฯ พร้อมกันอันเนื่องมาจากการยุบสภา ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญ จำหน่ายคดีที่นายอภิสิทธิ์ ถูกร้องจากกรณีถูกถอดยศร้อยตรี อย่างไรก็ตามกลุ่ม นปช. ยินดีรับคำท้าเดิมพันขบวนการต่อสู้กัน ถ้ากลุ่มของนายสุเทพ มีคนมาน้อยกว่าก็ควรต้องเก็บนกหวีดแล้วกลับบ้านไป และเลิกขัดขวางการเลือกตั้ง เพื่อให้บ้านเมืองเดินไปตามกติกา แต่ถ้า นปช.มาน้อยว่าก็เป็นสิ่งที่เราต้องยอมรับ และยุติบทบาท แล้วไปทบทวนการเคลื่อนไหวที่ผ่านมา ส่วน กปปส.จะเดินหน้าอย่างไร ก็เป็นเรื่องของประเทศไทยว่าจะยอมตกอยู่ใต้อำนาจของนายสุเทพ หรือไม่ ซึ่งตนหวังว่านายสุเทพ จะไม่เปลี่ยนคำพูดภายหลัง
“จตุพร” ลั่นใครแพ้กราบเท้า
นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. กล่าวว่า ตนรับคำท้าวัดมวลชนกับนายสุเทพ ให้กำหนดเลยว่าเอาถนนเส้นไหน และจะใช้วิธีการเดินหรือนั่ง โดยก่อนจะกลับใครแพ้ให้กราบเลย ผมแพ้จะกราบเท้าสุเทพ เทือกสุบรรณ แต่ถ้าสุเทพแพ้ ให้มา กราบเท้าประชาชนคนเสื้อแดง เท้าไหนก็ได้
“สุเทพ” นำมวลชนเปิดหน่วยราชการ
วันเดียวกัน เวลา 10.00 น. กลุ่มคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ กปปส. โดย นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. ได้นำมวลชนจากเวทีสวนลุมพินี เคลื่อนขบวนมาที่กระทรวงยุติธรรม ที่บริเวณศูนย์ราชการฯ ถ.แจ้งวัฒนะ ถือว่าเป็นกระทรวงแรกตามแผนของ กปปส.ในการเดินสายเปิดกระทรวงฯ เพื่อสานต่อภารกิจปฏิบัติการพิเศษในการออกไปเรียกร้องให้ข้าราชการออกมาแสดงเจตนารมณ์ร่วมกับ กปปส. ในการปฏิรูปประเทศ ก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และยุติกับการปฏิบัติหน้าที่รับใช้รัฐบาล รวมทั้งเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่ ในวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยสถานะของรักษาการนายกรัฐมนตรี ประเด็นการโยกย้าย นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. ต่อมา เวลา 11.00 น. นายสุเทพ พร้อมมวลชน ได้เดินทางเข้าถึงกระทรวงยุติธรรม โดยมีนายกิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ให้การต้อนรับและเปิดห้องรับรองชั้น 2 เพื่อให้มวลชนเข้ายื่นหนังสือ
บุกยุติธรรม-ปลัดฯ เปิดห้องเจรจา
นายสุเทพ กล่าวว่า ทางมวลชนได้เดินทางพบปะพี่น้องข้าราชการทุกกระทรวง และวันนี้เดินทางมากระทรวงยุติธรรม ซึ่ง มวลชนได้ตัดสินใจว่า ขณะนี้บ้านเมืองไม่สามารถปล่อยให้ เป็นลักษณะนี้ได้ จึงจำเป็นต้องมีการปฏิรูปประเทศ โดยด่วน ซึ่งประกาศแรกเราเห็นว่า กฎหมายเลือกตั้ง กฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายที่ควบคุมการเลือกตั้ง ยังมีช่องโหว่เปิดช่องให้นายทุนเข้ามาซื้อเสียงจึงไม่เป็นไปตามประชาธิปไตย ทาง กปปส.จึงเห็นว่าควรแก้ไขปัญหาตรงนี้ก่อน อีกทั้งยังมีการทุจริตคอรัปชั่น ใช้อำนาจข่มเหงรังแก ยกตัวอย่าง กรณีของนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ถูกโยกย้ายตำแหน่งโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายระบบข้าราชการและรัฐบาลไม่มีความชอบธรรมทางกฎหมายเนื่องจากไม่เคารพหลักนิติธรรมจึงไม่ชอบธรรมทางการเมือง เนื่องจากประชาชนไม่ให้การยอมรับประชาชนจึงต้องออกมาขับไล่รัฐบาลชุดนี้ให้ออกไป ซึ่งมติคณะกรรมการเครือข่าย กปปส.ได้ประกาศออกไปแล้วว่า กปปส.จะประกาศชุมุนมใหญ่อีกครั้งในวันที่หลังจาก ป.ป.ช.ออกมาชี้มูลความผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีในกรณีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว หรือหลังจากวันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พ้นสภาพนายกรัฐมนตรี อย่างไรก็ตามหลังจากนายสุเทพ ได้เจรจากับปลัดกระทรวงยุติธรรมเสร็จสิ้นแล้วนั้น นายสุเทพ ได้เชิญให้สื่อมวลชนออกจากห้องรับรองเพื่อขอพูดคุยเป็นการส่วนตัวกับปลัดกระทรวงยุติธรรมอีกครั้ง ขณะที่บรรยากาศภายในกระทรวงยุติธรรมเป็นไปอย่างเรียบร้อยท่ามกลางการรักษาความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารอย่างแน่นหนา
ขอบคุณ ขรก.เคียงข้าง ปชช.
ภายหลังหารือ นายสุเทพได้ขึ้นปราศรัยว่า ขอขอบคุณข้าราชการกระทรวงยุติธรรมทุกคนที่มาอยู่เคียงข้างประชาชน ยกเว้นนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพียงคนเดียว พร้อมยืนยันว่า กปปส.จะเดินหน้าต่อสู้จนกว่าจะได้รับชัยชนะ เนื่องจากนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลหมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว จากนั้นนายสุเทพ ได้นำผู้ชุมนุม กปปส.เดินทางทักทายและเยี่ยมผู้ชุมนุมเวทีแจ้งวัฒนะของหลวงปู่พุทธะอิสระ พร้อมขึ้นปราศรัยว่า กปปส.จะไม่ท้อถอยและเดินหน้าสู้ให้ชัยชนะเป็นของประชาชน ซึ่งความหวังของประชาชนในการปฏิรูปประเทศครั้งนี้สำเร็จได้ ข้าราชการพลเรือน ตำรวจ และทหาร ต้องออกมาเคียงข้างประชาชน เมื่อเสร็จการทักทายผู้ชุมนุมเวทีแจ้งวัฒนะ นายสุเทพได้นำมวลชนกลับเวทีสวนลุมพินีทันที
โต้สร้างภาพ
นายเอกณัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษก กปปส. กล่าวว่า การเคลื่อนไหววันนี้จะคล้ายกับสัปดาห์ที่แล้ว และเป็นเพียงการรณรงค์เท่านั้น หากมีผู้ใหญ่ของหน่วยงานราชการลงมาเจรจาและตอบรับกับข้อเรียกร้องของ กปปส. ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ ส่วนจะไปกี่จุดนั้นยังไม่สามารถบอกได้ ต้องรอดูว่าจุดแรกจะเสร็จเร็วหรือไม่ ส่วนที่นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ ระบุว่า การเคลื่อนไหวของ กปปส.วันนี้เป็นการสร้างภาพ และตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงยกเว้นไม่เปิดทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยนั้น ยืนยันว่าไม่ใช่เป็นการสร้างภาพ เพราะ กปปส.เคลื่อนไหวอย่างมีหลักการ มีเป้าหมายอย่างชัดเจน ส่วนทำเนียบรัฐบาลและกระทรวงมหาดไทยนั้น เชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่มีความจำเป็นต้องเข้าไปติดต่อกับ 2 หน่วยงานนี้ ขณะที่กระทรวงอื่นๆ จะเปิดให้ข้าราชการเข้าไปทำงานเพื่อให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้น อีกทั้งยังยืนยันว่า กปปส.ไม่ได้เป็นม็อบมีเส้นตามที่พรรคเพื่อไทยกล่าวหา เพราะมวลชนยังคงถูกทำร้าย และถูกคุกคามอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งแกนนำก็ถูกกลั่นแกล้งจากทั้งรัฐบาล และดีเอสไอตั้งข้อกล่าวหาหลายอย่าง โดยเฉพาะข้อหาเป็นกบฏ ทั้งที่ไม่ได้มีพฤติกรรมเช่นนั้น ส่วนที่นายนพดล ปัทมะ ออกมาเปรียบคำตัดสินสถานภาพนายกรัฐมนตรีของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีโยกย้ายเลขาธิการ สมช.ไม่เป็นธรรม ว่าอย่าโยนน้ำมันเข้ากองไฟนั้น เห็นว่าทุกฝ่ายควรเคารพการทำงานของศาล และไม่ควรออกมาชี้นำการตัดสิน เพราะหากนายกรัฐมนตรีทำผิดจริงก็จะต้องถูกตัดสินว่าผิด ไม่ใช่เอากระแสสังคมเป็นที่ตั้ง และไปชี้นำศาล
กกต.จัดเลือกตั้งไม่ได้ใน 60 วัน
วันเดียวกัน นายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงภายหลังประชุมหารือกับหน่วยงานด้านความมั่นคง เพื่อประเมินสถานการณ์ก่อนที่จะมีการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. ครั้งใหม่ โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ปลัดกระทรวงมหาดไทย ตัวแทนปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้แทนหน่วยงานด้านความมั่นคงรวมทั้งสิ้น 12 หน่วยงาน ว่า ทั้ง 12 หน่วยงานเห็นตรงกันว่าต้องจัดการเลือกตั้งโดยเร็วแต่ต้องประเมินสถานการณ์เป็นสำคัญ จะให้เป็นเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้อีก และจากการประเมินในที่ประชุมมีความเห็นตรงกันว่า สถานการณ์ใน 45-60 วันนี้ ยังไม่สามารถจัดการเลือกตั้งที่สงบขึ้นได้ ต้องมีการประเมินสถานการณ์กันแบบวันต่อวัน อีกทั้งที่ประชุมยังได้ข้อสรุปร่วมกัน 5 ข้อประกอบด้วย 1.ที่ประชุมเห็นตรงกันว่าการเลือกตั้งเป็นทางออกของประเทศ เพราะการที่รัฐบาลรักษาการเป็นเวลานานจะกระทบกับเศรษฐกิจและสังคม 2.กกต.และหน่วยงานความมั่นคงยืนยันว่ามีความพร้อมที่จะจัดการเลือกตั้งในสถานการณ์ปกติ ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่คลี่คลายความขัดแย้งลงไปแล้ว 3. สถานการณ์ในปัจจุบันยังเป็นอุปสรรคที่จะจัดเลือกตั้งให้สำเร็จหากจะจัดเลือกตั้งใหม่เป็นหน้าที่ของทุกภาคส่วนที่ต้องร่วมกันแก้ไขปัญหา 4. ที่ประชุมยังไม่มีการกำหนดวันเลือกตั้งเพราะต้องรอฟังความเห็นจาก 73 พรรคการเมืองในวันที่ 22 เม.ย. อีกทั้ง กกต. ขอเชิญชวนให้ ทุกภาคส่วน ทั้ง 7 องค์กรธุรกิจ สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มาร่วมหารือเพื่อเอาแนวทางประกอบการตัดสินใจกำหนดวันเลือกตั้ง และ 5. ระหว่างการประเมินสถานการณ์ทาง กกต.จะมีการแก้ไขกฎหมายและระเบียบต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคการเลือกตั้ง