เอสซีจี เปเปอร์ เผยทิศทางธุรกิจปี 57
เอสซีจี เปเปอร์ หนึ่งในผู้นำด้านกระดาษและบรรจุภัณฑ์ของไทย โชว์ศักยภาพการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการเผยกลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งให้กับสายธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ พร้อมสร้างสรรค์นวัตกรรมที่ตอบสนองผู้บริโภค ควบคู่กับการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน
ในปี 2557 เอสซีจี เปเปอร์ ได้กำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจให้สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจของอาเซียน ที่คาดว่าเติบโตต่อเนื่อง โดยเดินหน้าขับเคลื่อน 2 สายธุรกิจหลัก ได้แก่ สายธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ และสายธุรกิจเยื่อและกระดาษอย่างจริงจังและต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมุ่งขยายตลาดเพื่อรองรับความต้องการสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปเปอร์ เปิดเผยว่า สำหรับสายธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์เอสซีจี เปเปอร์ จะมุ่งเน้นกลยุทธ์ด้านการขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าในปี 2557 ปริมาณความต้องการกระดาษบรรจุภัณฑ์ในภูมิภาคอาเซียนจะเติบโตร้อยละ 5 บริษัทฯ จึงเพิ่มกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ประมาณ 400,000 ตันต่อปี ซึ่งจะเริ่มผลิตได้แล้วในปีนี้ ทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์รวมทั้งหมด 2.3 ล้านตัน และกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้นจากการควบรวม 3 บริษัทเมื่อปีที่แล้ว รวมเป็น 1.03 ล้านตัน ปัจจุบัน เอสซีจี เปเปอร์ จึงเป็นผู้ผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์กระดาษลูกฟูกรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน
นอกจากนี้ เอสซีจี เปเปอร์ ยังปรับปรุงสายการผลิตเพื่อพัฒนาคุณภาพสินค้าและกระบวนการผลิตให้ดียิ่งขึ้น รวมถึงการมองหาโอกาสและการพัฒนาสินค้าด้วยการขยายทิศทางของบรรจุภัณฑ์ไปยังกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์ประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากกระดาษ เพื่อให้เกิดการตอบสนองที่ครบวงจรมากยิ่งขึ้น
ด้านสายธุรกิจเยื่อและกระดาษ เอสซีจี เปเปอร์ ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาสินค้ามูลค่าเพิ่ม โดยส่งเสริมการปลูกต้นยูคาลิปตัสเพื่อใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และขยายการร่วมมือกับ Nippon Paper Industries Company Limited หรือ NPI ประเทศญี่ปุ่น รวมถึงส่งเสริมการผลิตสินค้าอื่นๆ ที่ได้จากเยื่อ นอกเหนือจากกระดาษ และขยายธุรกิจไปสู่การผลิตพลังงานทดแทนจากเศษไม้
ล่าสุด เอสซีจี เปเปอร์ ได้พัฒนา Dissolving Pulp จากไม้ยูคาลิปตัสป่าปลูก ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าที่หลากหลาย เช่น เส้นใยเรยอนและวิสคอสที่ใช้ในการผลิตเครื่องนุ่งห่ม ภาชนะเมลามีน เป็นต้น โดย Dissolving Pulp เป็นสินค้ามูลค่าเพิ่มที่เอสซีจี เปเปอร์ สามารถผลิตได้เป็นรายแรกในประเทศไทย และมีคุณภาพเทียบเท่ากับมาตรฐานระดับโลก
นายพันเทพ สุภาไชยกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์กระดาษไทย จำกัด ในเอสซีจี เปเปอร์ เล่าว่า เอสซีจี เปเปอร์ มุ่งมั่นสร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการสูงสุดของลูกค้า จึงพัฒนา Dissolving Pulp จากไม้ยูคาลิปตัสป่าปลูก เพื่อผลิตเส้นใยเรยอนสำหรับอุตสาหกรรมสิ่งทอ ที่มีคุณสมบัติเบาสบาย ดูดซับความชื้น ระบายอากาศและความร้อนได้ดี และดูแลรักษาง่าย โดยการผลิต Dissolving Pulp เป็นการใช้ประโยชน์จากยูคาลิปตัสให้เกิดคุณค่าสูงสุด เนื่องจากยูคาลิปตัสเป็นพืชเศรษฐกิจที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน ช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าประเภทเยื่อ สามารถทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ และเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจไปในภูมิภาค
“ปัจจุบัน เอสซีจี เปเปอร์ มีกำลังการผลิต Dissolving Pulp ทั้งสิ้น 96,000 ตันต่อปี และยังมีความเชี่ยวชาญทั้งด้านเทคโนโลยีและบุคลากรที่สามารถผลิตสินค้าได้มีคุณภาพสูง ตรงตามความต้องการของตลาด ในปี 2557 คาดว่าความต้องการ Dissolving Pulp ในตลาดโลกจะเพิ่มสูงขึ้น โดยเติบโตร้อยละ 6 และมีแนวโน้มการเติบโตของตลาดอย่างต่อเนื่อง” นายพันเทพ กล่าว
นอกจากนี้ เอสซีจี เปเปอร์ ยังมีห้องวิจัยที่สามารถศึกษาคุณสมบัติและวิเคราะห์คุณภาพของ Dissolving Pulp ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีทีมงานศึกษาความต้องการของลูกค้าอย่างลึกซึ้ง พัฒนาสินค้าเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างสูงสุดอีกด้วย
เอสซีจี เปเปอร์ ยังคงมุ่งมั่นทุ่มเทเพื่อคิดค้นและวิจัยนวัตกรรมสินค้าใหม่ๆ ตอบสนองผู้บริโภคตลอดเวลา ด้วยความเชื่อมั่นว่านวัตกรรมจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจของเอสซีจี เปเปอร์ ให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน
วันที่ 18/03/2557 เวลา 6:15 น.