“แฮปปี้เอ็มพีเอ็ม” โอดการเมืองยื้อ
“แฮปปี้ เอ็มพีเอ็ม” ยอมรับแผนการตลาดที่ใช้มากว่า 15 ปี ล้าสมัย พร้อมปรับเปลี่ยนโครงสร้างเอาใจผู้นำ โอดม็อบทำยอดหลุดเป้า เตรียมเปิดสำนักงานย่านชานเมืองรองรับสมาชิก เดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศรับ AEC นำร่องลาว-กัมพูชา เผยแผนเปิดให้ครบประเทศอาเซียนครบทั้ง 10 ประเทศ ภายใน 3 ปี ส่วนสิ้นปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 600 ล้านบาท
นายสุกิจ สัตย์เพริศพราย ประธานกรรมการบริษัท แฮปปี้เอ็มพีเอ็ม จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดดำเนินธุรกิจครบ 15 ปีในปีนี้ ซึ่งเมื่อพูดถึงบริษัทขายตรงที่ใช้แผนไบนารี่ในการทำตลาด แฮปปี้เอ็มพีเอ็มถือเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัทที่สามารถยืนหยัดมาได้ยาวนาน ซึ่งคนในขายตรงต่างให้การยอมรับในวงกว้างว่าเป็นบริษัทขายตรงไบนารี่ที่เติบโตและมีจุดยืนอย่างมั่นคง ทั้งนี้การหยุดนิ่งคือล้าสมัย จากการเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบันทำให้ต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ โดยบริษัทได้ทำการวิจัยแผนการตลาด และมีการปรับเปลี่ยนในช่วงต้นเดือนกันยายนปีที่ผ่านมา
“เราเปิดบริษัทในปี 2542 ปีนี้จะครบรอบ 15 ปี ระยะเวลาที่ผ่านมาเราเป็นบริษัทแรกๆ ที่ใช้แผนไบนารี่แล้วอยู่ยงคงกระพัน คือเราไม่เคยเปลี่ยนแผน โครงสร้างดั้งเดิม ไบนารี่รุ่นแรกๆ เราใช้มาเรื่อยจนจะครบ 15 ปี แต่เราก็เชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงในยุคปัจจุบัน ถ้าเราหยุดนิ่ง คือ ล้าสมัย แผนที่เราใช้ ถ้าเป็นบริษัทอื่นไปนานแล้ว ที่ผ่านมาร้อยกว่าบริษัททยอยปิดตัว ที่อยู่รอดมาได้เพราะปรับตัว นี่เป็นที่มาจากการวิจัยเมื่อเดือนมิถุนายนปีที่แล้ว และบริษัทมีการเปลี่ยนแผนการตลาดซึ่งได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแผนต้นเดือนกันยายนปีที่แล้ว ผมยอมรับว่าเพื่อให้สอดคล้องกับการเติบโตยุคใหม่ ตอบสนองผู้คนนำ เราทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของสมาชิก เรามีผู้นำระดับสูงมาพูดคุยว่าอย่าเปลี่ยนแผน เพราะรู้ว่ากระแสมาแรง เราคงแผนตรงนี้มา 15 ปี แต่การเปลี่ยนแปลง ผมว่าเราทำได้ดี หนึ่งเรามีผู้นำที่ดี และเรามีการพูดคุย ทำความเข้าใจกับผู้นำระดับสูงมาโดยตลอด หลายร้อยคนที่ทำธุรกิจกับเราไม่มีใครหลุดไปไหน ฉะนั้นเมื่อเปลี่ยนแผนจึงได้รับการตอบรับที่ดี”
นายสุกิจ กล่าวว่า แผนการตลาดใหม่มีการปรับปรุงคือเพิ่มเติมคือ 1.ฟาสสตาร์ท (คล้ายกับแผนสตาร์สเต็ป) โดยเริ่มจากทีมติดตัว 2.บาลานซ์ทีม สายอ่อน-สายแข็ง 3.แมทชิ่ง จากนั้นเอาไปรวมกับโครงสร้างเดิมที่มีอยู่แล้ว ทำให้ไม่วุ่นวาย ไม่มีการรีบูท หรือล้างไพ่ ผู้นำไม่มีความรู้สึกในการเปลี่ยนแปลงมากนัก ในขณะที่กระแสตอบรับจากที่นิ่งๆ มานานก็มีความคึกคัก เติบโตเพิ่มขึ้นเดือนละ 20 เปอร์เซ็นต์ นับจากเดือนกันยายนปีที่แล้ว และสำหรับเป้าหมายด้านยอดขายเนื่องจากผลกระทบทางการเมืองทำให้จากที่ตั้งเป้าหมายการเติบโต 10 เปอร์เซ็นต์ สามารถทำได้ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากการเปลี่ยนแผนคาดว่าบริษัทจะสามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 20 เปอร์เซ็นต์
“จากสถานการณ์ทางการเมืองในกรุงเทพฯ ทำให้คนใหม่ไม่กล้าเข้าบริษัท ก็กระทบเพราะการชุมนุม เราเลยต้องปรับกลยุทธ์ โดยออกไปจัดประชุมต่างจังหวัดให้มากขึ้นก็แก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่ง นอกจากนี้เรายังเตรียมเปิดสาขาในเขตชานเมือง กรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉินเราก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจได้ ทั้งนี้อาจเป็นพื้นที่ที่เราวางแผนจะเปิดสาขาอยู่แล้วแต่เร่งให้เร็วขึ้น หากสถานที่ยังไม่เรียบร้อย เราอาจเช่าตึกเพื่อเปิดรองรับ ทั้งนี้ต้องประเมินสถานการณ์วันต่อวัน”
ส่วนนโยบายในการขยายสาขาในปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายจะเปิดให้ครอบคลุมตามหัวเมืองใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเชียงใหม่ เชียงราย โคราช สงขลา ภูเก็ต เป็นต้น จากเดิมที่บริษัทมีสขาอยู่แล้ว 6 แห่ง คือ พะเยา พิษณุโลก ขอนแก่น อุบลราชธานี นครพนม และสุราฎร์ธานี นอกจากนี้จากเดิมที่บริษัทไม่เปิดสาขาในรัศมี 200-300 กิโลเมตรก็มีการพิจารณาเปิดเพิ่มในอีก 10 จังหวัด เช่น สระบุรี สุพรรณบุรี เพชรบุรี เป็นต้น
นายสุกิจ กล่าวต่อว่า บริษัทยังเตรียมพร้อมที่จะขยายธุรกิจเพื่อรองรับ AEC โดยขยายตลาดไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านใน 2 ประเทศแรกคือลาวและกัมพูชา และจะขยายให้ครบทุกประเทศในภูมิภาคอาเซียนภายในปี 2559 หรืออีก 3 ปีข้างหน้า
“ตลาดต่างประเทศเราจะไปเปิดสาขา ลดความยุ่งยาก คือ 2 ประเทศเรามีรอยต่อชายแดนที่ติดลาว มีสมาชิกให้ความสนใจผลิตภัณฑ์เราเยอะมาก ใช้วิธีขนไปเอง ซึ่งเราจะไปเปิดสาขางบประมาณแห่งละ 5 ล้านบาท สำหรับยอดขายจากสาขาต่างประเทศ สาขาละ 20 ล้านต่อปี เดือนละเกิน 1 ล้านบาท” นายสุกิจ กล่าว
สุภพงษ์ เทียนสี/รายงาน
วันที่ 6/02/2557 เวลา 7:25 น.