ชาวพุทธ-มุสลิม สัมพันธภาพระอุบนเปลวเพลิง
หลังจากเกิดเหตุเพลิงไหม้มัสยิดในย่างกุ้งเป็นเวลาหลายชั่วโมง ซึ่งส่งผลให้มีเด็กเสียชีวิตไปจำนวน 13 คน ในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา ก็มีเสียงจากผู้คนในพื้นที่กล่าวถึงสาเหตุของเหตุอันน่าสลดดังกล่าวอยู่สามประการด้วยกัน อย่างแรกคือ เกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร อย่างที่สอง เป็นการลอบวางเพลิง และสุดท้าย เป็นฝีมือของกลุ่มชาวมุสลิมหัวรุนแรงที่ต้องการยั่วยุชาวพุทธ
หากไม่นับทฤษฎีสุดท้าย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวพุทธจำนวนหนึ่งในพื้นที่ใกล้เคียงเชื่ออย่างนั้น สาเหตุสองข้อที่เหลือเป็นข้อสันนิษฐานที่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว แต่ก็เป็นมุมมองที่ดูจะละเลยความจริงที่ว่า ความไม่ไว้เนื้อเชื่อใจได้ก่อตัวขึ้นแล้วระหว่างชาวพุทธและมุสลิมในพม่า
ในช่วงที่นักข่าวอิรวดี ซึ่งรวมถึงผู้เขียนด้วย ได้ไปถึงที่เกิดเหตุ เราเห็นว่าถนนที่มุ่งหน้าไปยังมัสยิดถูกปิด ตำรวจปราบจลาจลถูกส่งตัวมาเพื่อป้องกันเหตุรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้ รถทหารบรรทุกกำลังพลเต็มลำจอดอยู่บนถนนสายหลักใกล้ๆ เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนพลทุกเมื่อ
ผู้ที่มายืนดูเหตุการณ์ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมหน้าตาเคร่งเครียดไม่ชอบมาพากล นักข่าวหลายคนรวมทั้งนักข่างต่างประเทศกำลังสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่และพยานผู้เห็นเหตุการณ์
ผมถามวินมิ้นท์ นักธุรกิจชาวมุสลิมเกี่ยวกับสาเหตุของเพลิงไหม้ครั้งนี้ เขายืนอยู่หน้าโรงเรียนของชาวมุสลิมบนถนนสาย 48 และชี้ไปที่หน้าต่างบานหนึ่งแล้วพูดว่า ถ้ามีคนจะใช้ไม่ไผ่หย่อนผ้าชุบน้ำมันเข้าไปในนั้นก็สามารถทำได้ง่าย
ในฐานะที่เคยเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียนนี้มาก่อน เขารีบไปยังที่เกิดเหตุทันทีที่ทราบข่่าวไฟไหม้ เขาไปถึงหลังจากฟ้าสางได้ไม่นาน เช่นเดียวกัับชาวมุสลิมคนอื่นๆ ที่มารวมตัวกันอยู่ที่นี่ เขาเข้าไปในตัวอาคารทันที่ที่ไฟดับเพื่อค้นหาหลักฐานการจงใจวางเพลิง
เขาหยิบโทรศัพท์มือถือสมาร์ทโฟนออกมา เอารูปให้ผู้เขียนดู เขาบอกผมว่ามันเป็นการวางเพลิงแน่ๆ “เห็นไหม..เราเจอกองผ้าของผู้หญิงที่ชุ่มไปด้วยน้ำมันดีเซลใกล้กับหน้าต่าง” เขาบอกว่ายังพบแท่งเหล็กอันหนึ่งด้วย แต่ก็ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่ามันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาุเชื่อว่าเกิดขึ้นเช่นนั้นหรือไม่ นอกจากนี้ ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนว่า มัดผ้าที่เขาพบจะเป็นผ้าของผู้หญิง ซึ่งค่อนข้างจะเป็นเรื่องที่ออกจะเป็นการปรักปรำไปเสียหน่อย เพราะนักเรียนทุกคนที่นี่เป็นเด็กผู้ชาย
เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเต็ด ลวิน ที่มาถึงสถานที่เกิดเหตุก่อนฟ้าสาง แจ้งผลการตรวจสอบของสาเหตุของเพลิงไหม้ว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการก่ออาชญากรรม ทำให้ฝูงชนไม่พอใจ
“ทุกครั้งที่เขาพูดคำว่า ไฟฟ้าช็อต ชาวมุสลิมที่โกรธแค้นต่างพากันตะโกนและชกที่พาหนะ” สำนักข่าว AP รายงาน
ในขณะที่ชาวมุสลิมเชื่อว่าเพลิงไหม้ไม่ใช่อุบัติเหตุ ชาวบ้านที่เป็นชาวพุทธในพื้นที่ที่ผู้เขียนได้พูดคุยด้วยกล่าวว่า พวกเขาไม่เชื่อว่าจะเกิดจากการวางเพลิงได้ “มันเป็นไปไม่ได้ คุณควรจะถามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ดูแลถนนสายนี้ตอนกลางคืน” ครอบครัวหนึ่งที่อยู่บ้านถัดจากมัสยิดกล่าว อยู่เบื้องหลังประตูเหล็กที่ถูกปิดล็อกไว้
มิ้นอ่อง หนึ่งในสามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่อยู่เวรช่วงค่ำกล่าวว่า เขาเป็นคนแรกที่อยู่นอกมัสยิดที่สังเกตุว่าามีไฟไหม้อยู่ข้างใน “ตอนที่ผมพยายามปลุกคนข้างใน ก็ไม่มีใครตอบรับ ผมไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ บางทีพวกเขาอาจจะกำลังพยายามดับไฟอยู่ก็ได้”
“ไม่เคยมีคนแปลงหน้าเข้ามาแถวนี้มาก่อน และพวกเขาต่างก็ตื่นตัวอยู่เสมอ เราไม่้เห็นอะไรผิดสังเกตุอย่างที่พวกเขาบอกเลย” เขากล่าว โดยอ้างถึงข่าวลือในชุมชนชาวมุสลิม
มิ้นอ่องที่ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมากว่า 10 ปีบอกว่า โรงเรียนแห่งนี้มักจะแบ่งปันอาหารให้เขาอยู่เสมอ
แต่อย่างไรก็ตาม ชาวพุทธบางส่วนก็ยังยากที่จะเชื่อว่าเพลิงไหม้เป็นเรื่องอุบัติเหตุ ด้วยความที่เหตุการณ์เกิดขึ้นกระชั้นชิดหลังจากเกิดจลาจลต่อต้านชาวมุสลิมในเม้กทีลาและในหลายพื้นที่ในภาคพะโค ได้สร้างความสงสัยว่าเหตุเพลิงไหม้โรงเรียนอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งทางศาสนาดังกล่าว
ไม่สงสัยเลยว่าเพราะเหตุใด รัฐบาลจึงรีบออกมาแถลงข่าวถึงสองครั้งเพื่อย้ำกับประชาชนว่า เหตุเพลิงไหม้ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุความรุนแรงเมื่อเดือนที่แล้ว
สถานีโทรทัศน์ MRTV ของรัฐรายงานการสืบสวนสอบสวนอย่างละเอียด โดยมีการสัมภาษณ์ผู้นำชาวมุสลิม พยานผู้เห็นเหตุการณ์ ช่างไฟฟ้า เจ้าหน้าที่ดับเพลิงและเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ในระหว่างการแถลงข่าวครั้งแรก นายมิ้นส่วย มุขมนตรีระจำภาคย่างกุ้งได้ออกมาประกาศว่าเหตุเพลงไหม้เป็นอุบัติเหตุ และกล่าวหาว่า เจ้าหน้าที่ในโรงเรียนได้โทษว่าเป็นการปองร้ายเพื่อปกปิดความบกพร่องของตนเอง หลังจากนั้นในวันเดียวกัน เขาได้ออกมาย้ำว่าเหตุเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร และกล่าวว่า นายเซยา เีพียว ครูในโรงเรียนดังกล่าวได้ออกมายอมรับว่าเป็นต้นเหตุุของข่าวลือ ขณะที่ครูอีกคนกำลังถูกตามตัวจากเจ้าหน้าที่เพิ่อสอบสวน
สำหรับชาวมุสลิมในพม่า ดูเหมือนว่ายังไม่จบง่ายๆ โดยผู้นำชาวมุสลิมให้คำมั่นว่าจะร่วมมือในการสืบสวนด้วย แต่ถึงแม้ว่าท้านที่สุดแล้วผลที่ได้จะออกมาว่าไม่มีหลักฐานที่จะแสดงว่ามีการกระทำผิด ความเคลือบแคลงก็จะยังคงอยู่ในใจของชุมชนชาวมุสลิมว่าพวกเขาได้ตกเป็นเป้าหมายอีกครั้งเพราะศาสนาที่แตกต่าง
หน้าเศร้า ที่ในขณะที่ชาวพุทธส่วนใหญ่พร้อมที่จะยอมรับเรื่องเล่าของรัฐบาลในสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ชาวมุสลิมในพม่าจะยังคงเชื่อว่า เด็กชาวทั้ง 13 คนที่เสียชีวิตนั้น ตกเป็นเหยื่อของความเกลี่ยดชัง ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายถูก สิ่งที่หนึ่งที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือ ความเชื่อใจกันระหว่างชาวพุทธ ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ และชาวมุสลิม ที่ร่อแร่มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คงต้องใช้เวลาอีกนานแสนนานกว่าจะฟื้นกลับคืนมาได้
แปลจาก Burma’s Buddhist and Muslims Divided by Fire โดย KYAW ZWA MOE
irrawaddy วันที่ 3 เมษายน 2555