ไทยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการพิมพ์ของอาเซียน
สำนักข่าวไทย 10 ธ.ค.-อุตสาหกรรมการพิมพ์-บรรจุภัณฑ์ไทยตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางการพิมพ์ของอาเซียน มูลค่าตลาดกว่า 500,000 ล้านบาท
นางนันทวัลย์ ศกุนตนาค อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เปิดเผยถึงแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมการพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ ว่า มุ่งสู่การเป็น ศูนย์กลางการพิมพ์ของอาเซียน ที่คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมไม่น้อยกว่า 300,000 ล้านบาท หากรวมทั้งระบบจะมีมูลค่าตลาดกว่า 500,000 ล้านบาทครอบคลุมผู้ประกอบการกว่า 3,400 ราย โดยเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลากหลายภาคส่วน ทั้งโรงพิมพ์ อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ, สื่อ ทั้งที่เป็นหนังสือพิมพ์ นิตยสาร, ธุรกิจโฆษณา ออกแบบ และธุรกิจการกระจายสื่อสิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวข้องกับระบบโลจิสติกส์ รวมถึงบรรจุภัณฑ์ในภาคการผลิตสินค้าต่าง ๆ ด้วย อาทิ เครื่องสำอาง อาหาร
“มูลค่าตลาดภาพรวมขยายตัวต่อเนื่องประมาณร้อยละ 10 แม้ธุรกิจการพิมพ์จะได้รับผลกระทบจากสื่อดิจิทัลที่แพร่หลายมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ภาพรวมยังมีการเติบโต การเติบโตของการพิมพ์บรรจุภัณฑ์เกิดจาก 2 ปัจจัย คือ กระแสการแข่งขันด้วยการสร้างแบรนด์ที่หลายธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจอาหารนำมาใช้ เช่น ร้านกาแฟ ซึ่งต้องมีแก้วหรือภาชนะที่พิมพ์ลายและโลโก้ของร้าน อีกปัจจัย คือบรรจุภัณฑ์ชนิดใหม่ ๆ” นางนันทวัลย์ กล่าว
ทั้งนี้ แนวโน้มการใช้บรรจุภัณฑ์ของโลก โดยเฉพาะชาติตะวันตกมีเป้าหมายที่จะผลิตสินค้าที่ทำจากพลาสติกชีวภาพ แทนพลาสติกจากปิโตรเลียม เพราะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งต่างชาติยอมรับในจุดแข็งในด้านคุณภาพการพิมพ์และมีนักออกแบบที่นานาชาติให้ความยอมรับ ส่วนแนวโน้มจะเติบโตในส่วนของสิ่งพิมพ์บรรจุภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์ที่ใช้กระดาษ พลาสติก รวมถึงสินค้าบรรจุภัณฑ์สามารถเข้าไมโครเวฟได้ อย่างสินค้าพร้อมรับประทานในร้านค้าสะดวกซื้อ รวมถึงนวัตกรรมด้านการพิมพ์แบบสกรีน ที่สร้างพื้นผิวและลวดลายที่มีมิติของการมอง ทั้งในแบบนูนต่ำ หรือรูปแบบที่เหมือนจริง ทำให้เกิดดีไซน์ที่แปลกตา สามารถพิมพ์ลงไปบนวัสดุหลากหลายได้ทั้ง การใช้หมึกพิมพ์ด้วย Soy Ink เป็นนวัตกรรมทางการพิมพ์เพื่อสิ่งแวดล้อม ตัวหมึกผลิตจากนำมันถั่วเหลืองผสมกับนำมันพืชแทนน้ำมันปิโตรเลียม ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ คาดว่าสื่อสิ่งพิมพ์จะมีการอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น หลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จากความต้องการสิ่งพิมพ์ภาษาอังกฤษของผู้อ่านชาวต่างชาติที่จะเข้ามาทำงานในไทยด้วยเหตุนี้คาดว่าในปี 2558 ตลาดจะขยายตัวไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 จากมูลค่าตลาดในปัจจุบัน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านพม่า ลาว กัมพูชาและเวียดนาม จะเป็นตลาดหลัก ซึ่งภาคเอกชนมีความสนใจ จัดกิจกรรมโรดโชว์เพื่อประชาสัมพันธ์และวางรากฐานความร่วมมือด้านต่าง ๆ ประกอบกับอุตสาหกรรมการพิมพ์มีศักยภาพ แต่ยังไม่มีการลงทุน เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ประเทศอินโดนีเซียเป็นผู้ผลิตวัตถุดิบกระดาษใหญที่สุดในอาเซียน ในอนาคตผู้ที่ผลิตกระดาษรายใหญ่ของโลกจะเป็นประเทศจีนและอินโดนีเซีย หากมีการขยาย เป็น ASEAN+3 เป็นผลดีสำหรับประเทศไทยในการนำเข้าวัตถุดิบจากต้นทุนที่ลดลง ส่วนมาเลเซียได้เปรียบไทยเรื่องประสิทธิภาพด้านการผลิต มีต้นทุนพลังงาน ราคาน้ำมันที่ต่ำกว่าไทย ทำให้มีต้นทุนการขนส่งที่ต่ำกว่าด้วยรวมถึงมีระบบการขนส่งที่ทันสมัย แต่ตลาดภายในประเทศของมาเลเซีย มีน้อยกว่าไทย 3 เท่า ขณะที่สิงคโปร์มีความรู้และความเชี่ยวชาญทางด้านการพิมพ์ มีการพัฒนาเทคโนโลยีจากต่างชาติมาตั้งแต่ สมัยประกาศเอกราชใหม่ๆ อีกทั้งได้เปรียบทางด้านยุทธศาสตร์การขนส่ง รวมถึงรัฐให้การสนับสนุนทางด้านภาษี.-สำนักข่าวไทย