นายกฯจีนเลือกเยือนอินเดียเป็นประเทศแรก
นายกรัฐมนตรีของจีน เริ่มต้นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกที่อินเดีย เป็นเวลา 3 วัน นับแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา...
เมื่อ 18 พ.ค. นายหลี เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีนเริ่มต้นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกที่อินเดียเป็นเวลา 3 วัน นับแต่เข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา หวังส่งเสริมและฟื้นฟูพัฒนาความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศมหาอำนาจแห่งเอเชีย แสดงให้เห็นถึงรัฐบาลจีนมองความสำคัญต่อประเทศเพื่อนบ้านที่เคยขัดแย้งมานาน ซึ่งกลุ่มนักวิเคราะห์การเมืองคาดว่าจะมีการทบทวนปัญหาพรมแดนที่เคยเจรจาไปแล้ว 15 ครั้งตลอด 10 ปีที่ผ่านมาแต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว อีกทั้งอาจเจรจาเรื่องการทำงานร่วมกันในอัฟกานิสถาน พร้อมประสานงานกับกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังสหรัฐฯถอนกองกำลังทหารออกจากอัฟกานิสถานเสร็จสิ้นในปี 2557
ทั้งนี้ นายจัสจิต ซิงห์ นักวิเคราะห์ด้านป้องกันประเทศและเป็นผู้อำนวยการประจำศูนย์ยุทธศาสตร์และการศึกษาค้นคว้าระหว่างประเทศ ในกรุงนิวเดลี เผยว่า ความตึงเครียดของ 2 ประเทศยังมีอยู่สูง เพราะจีนมองตนเองเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชีย ขณะที่อินเดียก็พยายามขยายความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและการทหาร
ขณะเดียวกัน ข้อโต้แย้งพื้นที่พิพาทเรื่องที่จีนครอบครอง 38,000 ตร.กม. บนพื้นที่ราบสูงอัคไค ซิน ฝั่งตะวันตกของเทือกเขาหิมาลายัน และยังอ้างความเป็นเจ้าของพื้นที่ราว 90,000 ตร.กม.ในรัฐอรุณาจัลประเทศ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย
นอกจากนี้ จีนยังเป็นพันธมิตรและจัดส่งด้านอาวุธมายาวนานให้กับปากีสถาน ประเทศคู่อริกับอินเดีย ส่วนอินเดียก็อยู่ฝ่ายองค์ดาไล ลามะ ผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวทิเบต ซึ่งรัฐบาลทิเบตพลัดถิ่นก็ยังเป็นอีกสาเหตุแห่งความขัดแย้ง แต่นายดอร์จี เซเต็น ผอ.นักเรียนนักศึกษาด้านการปลดปล่อยทิเบต ก็เผยว่า ตำรวจกรุงนิวเดลีไม่อนุญาตให้จัดชุมนุมประท้วงการเยือนอินเดียของนายหลี
อย่างไรก็ตาม การเดินทางออกนอกประเทศครั้งแรกของนายหลี ยังมีแผนเยือนปากีสถาน สวิต-เซอร์แลนด์และเยอรมนีด้วย โดยนายหลีมีกำหนดเข้าพบนายกรัฐมนตรี มันโมฮัน ซิงห์ แห่งอินเดีย ซึ่งเป็นประธานการจัดเลี้ยงอาหารค่ำ ก่อนที่จะจัดการประชุมระดับตัวแทนทั้ง 2 ฝ่ายในวันรุ่งขึ้น จากนั้นนายหลีก็จะเข้าร่วมการประชุมสุดยอด
ด้านธุรกิจการค้าที่เมืองมุมไบ นครแห่งเศรษฐกิจของอินเดีย ซึ่งจีนถือเป็นพันธมิตรคู่ค้ารายใหญ่สุดของอินเดียมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อปี 2545 เป็นเกือบ 75,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อปี 2554.