ไออีเอแนะอาเซียนรับมือการใช้พลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 ใน 22 ปีข้างหน้า
กรุงเทพฯ 2 ต.ค.- กระทรวงพลังงานร่วมกับทบวงพลังงานระหว่างประเทศ (ไออีเอ) เปิดตัวผลการศึกษา "แนวโน้มพลังงานอาเซียนในอนาคต ฉบับปี 2556 (World Energy Outlook 2013)" โดยมองถึงความต้องการในปี ค.ศ.2035 หรือ พ.ศ.2578 ที่จะเพิ่มขึ้นทวีคูณ ขณะที่ประเทศไทยมีความเสี่ยงที่สุด เพราะต้องนำเข้าก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเกือบทั้งหมด
รายงานของไออีเอ ระบุว่าในปี 2578 ความต้องการพลังงานในอาเซียนจะเพิ่มสูงมาก โดยความต้องการใช้น้ำมันจะเพิ่มขึ้นจาก 4.4 เป็น 6.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน ถ่านหินจะมีความต้องเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว ก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 ส่งผลให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มสูงขึ้นด้วย โดยในส่วนของไทยมีความน่าเป็นห่วงและเสี่ยงสูงสุด เพราะต้องมีการนำเข้าพลังงานเพิ่มขึ้น โดยในส่วนก๊าซธรรมชาตินำเข้าเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 25 เป็นการนำเข้าเกือบทั้งหมด เช่นเดียวกับการนำเข้าน้ำมันที่นำเข้าเกือบทั้งหมดจากปัจจุบันนำเข้าร้อยละ 65
สำหรับทิศทางพลังงานในอาเซียนถ่านหินจะมีบทบาทมากขึ้น เพราะเป็นแหล่ง สำรองที่สำคัญ โดยเฉพาะการผลิตจากอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าในปี 2578 คาดจะมีการใช้ถ่านหินเพื่อการผลิตไฟฟ้าสูงถึง 700 ล้านเมกะวัตต์ ขณะที่เป็นผู้นำเข้าน้ำมัน แต่อาเซียนจะเป็นผู้ส่งออกก๊าซธรรมชาติเช่นกัน จากประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซียและบรูไน และมีการใช้ไฟฟ้าจากก๊าซฯ 200 เมกะวัตต์ รวมทั้งอาเซียนจะมีการใช้พลังงานแทนเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านเมกะวัตต์ โดยพลังงานทดแทนจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น แต่อุปสรรคสำคัญคือ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สายส่งไฟฟ้าให้รองรับพลังงานทดแทนที่ผลิตไฟฟ้าได้ไม่ตลอดเวลา
ไออีเอ ยังแนะนำอาเซียนเพื่อรองรับความเสี่ยงด้านพลังงานว่า นโยบายของรัฐบาลอาเซียนจะต้องลดการอุดหนุนราคาพลังงาน ต้องส่งเสริมการเชื่อมโยงเครือข่ายพลังงานระหว่างกัน เช่น อาเซียนกริด, อาเซียนก๊าซฯ ไปป์ไลน์, ต้องส่งเสริมนโยบายการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานมากขึ้น โดยคาดว่าการลงทุนในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานจะมีวงเงินลงทุนสูง 330,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐจะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงานได้ 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจอาเซียนได้อีกร้อยละ 2 ช่วยลดการนำเข้าน้ำมันได้ 700,000 บาร์เรลต่อวัน หรือคิดเป็นมูลค่า 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี
พล.ต.ท.วิเชียรโชติ สุกโชติรัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า รายงานดังกล่าวระบุว่าไทยจะมีความต้องการใช้พลังงานรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 80 ในปี 2578 เช่นกัน โดยในส่วนของไทยได้ให้ความสำคัญ โดยมีทั้งแผนประสิทธิภาพพลังงานหวังลดการใช้พลังงานร้อยละ 25 ใน 20 ปี และพลังงานทดแทนร้อยละ 25 ใน 10 ปี รวมทั้งวางแผนรองรับการใช้พลังงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งในส่วนของการลดการอุดหนุนราคาพลังงานนั้นอยู่ทางกระทรวงฯ ได้นำผลการศึกษาในต่างประเทศมาประกอบการพิจารณาและจะทยอยลดการอุดหนุน เช่น การทยอยปรับขึ้นราคาแอลพีจี เป็นต้น โดยคาดการณ์ว่าใน 22 ปี จีดีพีของอาเซียนจะขยับเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว จำนวนประชากรจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 และการใช้พลังงานจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 80
ด้านนายสุเทพ เหลี่ยมศิริเจริญ ปลัดกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า กระทรวงฯ จะนำข้อแนะนำของรายงานมาประกอบการจัดทำแผนพลังงาน เช่น แผนพัฒนาไฟฟ้าระยะยาว หรือพีดีพี ที่กำลังอยู่ในระหว่างการปรับปรุง ซึ่งในส่วนของโรงไฟฟ้าถ่านหิน หากไม่สามารถสร้างขึ้นในประเทศไทยก็มีความร่วมมือกับเพื่อนบ้านในการรับซื้อไฟฟ้าจากเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น เช่น โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินทวายในเมียนมาร์ เป็นต้น.-สำนักข่าวไทย