ซีเรียมอบหลักฐานใหม่ให้รัสเซีย อ้างกบฏเป็นฝ่ายใช้อาวุธเคมี
รมช.ต่างประเทศรัสเซียเผย รัสเซียได้รับหลักฐานใหม่จากรัฐบาลซีเรีย ซึ่งอาจเป็นข้อยืนยันว่ากลุ่มกบฏในซีเรีย เป็นฝ่ายใช้อาวุธเคมีโจมตีในเมืองหลวง เมื่อปลายเดือนก่อน...
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 18 ก.ย. ว่า จากการเปิดเผยของรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศแห่งประเทศรัสเซีย ซีเรียได้มอบหลักฐานวัตถุซึ่งอาจเป็นข้อยืนยันว่ากลุ่มกบฏ เป็นฝ่ายที่ใช้อาวุธนิวเคลียร์โจมตีชานกรุงดามัสกัส เมื่อวันที่ 21 ส.ค. ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาล ให้กับรัสเซียแล้ว
นายเซอร์เก ริบคอฟ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงต่างประเทศแห่งประเทศรัสเซีย ซึ่งอยู่ระหว่างเยือนซีเรีย ให้สัมภาษณ์กับสื่อรัสเซียว่า รัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด แห่งซีเรียได้มอบหลักฐานใหม่ ซึ่งอาจบ่งชี้ว่ากองกำลังกบฏ เป็นผู้ใช้อาวุธเคมี โดยรัสเซียจะเตรียดสอบหลักฐานชิ้นนี้อย่างละเอียดอีกครั้ง
นายริบคอฟยังวิพากษ์วิจารณ์ รายงานของคณะผู้ตรวจสอบอาวุธเคมีแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ซึ่งระบุว่ามีการใช้แก๊สพิษ 'ซาริน' โจมตีในกรุงดามัสกัสจริง ว่าเกิดจากข้อมูลที่ไม่สมบูรณ์และมองเพียงด้านเดียว และเรียกร้องให้ผู้ตรวจสอบแห่งสหประชาชาติ เตรียมกลับเข้าไปในซีเรียอีกครั้ง เพื่อทำให้การสืบสวนสมบูรณ์
ในเวลาต่อมา อาเค เชลล์สตรอม หัวหน้าคณะผู้ตรวจสอบอาวุธเคมีแห่งสหประชาชาติ ออกมาระบุว่า คณะผู้ตรวจสอบจะกลับเข้าไปในซีเรียอีกครั้ง อย่างเร็วที่สุดในสัปดาห์หน้า ภายหลังเกิดข้อกล่าวหาเรื่องการใช้อาวุธเคมีใหม่มากขึ้น
ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส และ อังกฤษ ต่างกล่าวโทษรัฐบาลของประธานาธิบดีอัสซาด ว่าเป็นฝ่ายที่อยู่เบื้องหลังการใช้อาวุธเคมีเมื่อ 21 ส.ค. ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับพันคน และทำให้สหรัฐฯเตรียมใช้กำลังทหารกับซีเรีย ขณะที่ซีเรียปฏิเสธข้อกล่าวหาของนานาชาติ และอ้างว่าการโจมตีที่เกิดขึ้น เป็นการยั่วยุจากฝ่ายกบฏ
อย่างไรก็ตาม ความพยายามใช้กำลังทหารลงโทษซีเรีย ถูกขัดขวางโดยรัสเซีย ก่อนที่ทั้งสองประเทศจะเห็นชอบร่างแผนการ กำหนดเวลาให้ซีเรียเปิดเผยบัญชีอาวุธเคมีในคลังแสงทั้งหมดภายใน 1 สัปดาห์ เพื่อปูทางสู่การทำลายอาวุธเคมีทั้งหมดในช่วงกลางปี 2014
เมื่อวันอังคาร (17 ก.ย.) ที่ผ่านมา ตัวแทนจาก 5 ชาติสหมาชิกถาวรของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ซึ่งประกอบด้วย สหรัฐฯ, อังกฤษ,ฝรั่งเศส หารือร่างข้อมติสหประชาชาติที่สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และอังกฤษเป็นผู้เสนอ โดยทั้ง 3 ชาติต้องการให้ข้อมตินี้อยู่ภายใต้กฎบัตรสหประชาชาติ มาตรา 7 ซึ่งอนุญาตให้ใช้กำลังทหาร กรณีที่มาตรการอื่นๆไม่ได้ผล แต่รัสเซียคัดค้านเรื่องนี้.