ซัดเผด็จการ แบน ‘คนค้นฅน’ หยุด ‘ปรากฏการณ์ศศิน’ ล้มเขื่อนแม่วงก์!


cats

เผด็จการปิดปากสื่อ! แอ๊ด คาราบาว หมู พงษ์เทพ ซัดแบน ‘คนค้นฅน’ เทป ‘ปรากฏการณ์ศศิน’ หยุดเขื่อนแม่วงก์ ด้านประสาน ย้ำชัด เราอยู่ในยุคแห่งความหวาดกลัว ขณะที่สุภิญญา กรรมการ กสทช.แนะทีวีดิจิตอลคือทางออก…

เหนือเมฆ 2 ช่อง 3 รายการ ตอบโจทย์ ช่องไทยพีบีเอส รายงาน เควอเตอร์ ทางช่อง 5 คราวนี้มาถึงคิว โมเดิร์นไนน์สั่ง แบน ‘รายการคนค้นฅน’ เทปตามติดนายศศิน เฉลิมลาภ เลขามูลนิธิสืบนาคะเสถียร ที่เดินเท้า 388 กิโลเมตร จากป่าสู่เมืองคัดค้านการอนุมัติรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (EHIA) ในการสร้างเขื่อนแม่วงก์ จ.นครสวรรค์ เนื่องจากรายงานฉบับนี้ไม่ได้ระบุข้อมูลที่ครอบคลุมทั้งหมดเพื่อสร้างความตื่นตัวให้กับประชาชน

คำถามจึงเกิดขึ้นมากมายว่า นี่เราอยู่ในประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ หรือ…? นี่เราอยู่ในรัฐบาลที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆ หรือ…? ไทยรัฐออนไลน์มีคำตอบ

ศศิน เฉลิมลาภ
ศศิน เฉลิมลาภ

แบน ‘คนค้นฅน’ หยุด นายศศิน หยุดเขื่อน เผด็จการเต็มรูปแบบ…!

นาย ยืนยง โอภากุล หรือ แอ๊ด คาราบาว อดีตนักเคลื่อนไหวชื่อดังกล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์กรณีนี้ว่า ไม่เห็นด้วยกับการ แบน ‘รายการคนค้นฅน’ ทางโมเดิร์นไนน์ทีวีและให้กำลังใจผู้คัดค้านพร้อมย้ำในฐานะนักเคลื่อนไหวว่ารัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเลิกปิดหูปิดตาประชาชนซะที

‘เรื่องนี้ผมเคยพูดเอาไว้นานแล้ว ผมคัดค้านการสร้างเขื่อนทุกเขื่อน ยกเว้นเขื่อนที่มาจากโครงการพระราชดำริเท่านั้นเอง เนื่องจากมีการประชาพิจารณ์มีการสอบถามความคิดเห็นอย่างรอบคอบ หัวใจของการสร้างเขื่อนนั้นถ้าจะสร้างก็ต้องมีการทำประชาพิจารณ์ให้ดี ให้ทั่วถึง ถูกต้อง ไม่ใช่มุมมิบ ทำแบบนี้ ถ้าย้อนประวัติสังเกตให้ดีๆโครงการทำเขื่อนที่รัฐบาลไหนๆ คิดทำขึ้นมันจะมีปัญหาเรื่องประชาพิจารณ์ไม่โปร่งใส่ ในฐานะคนที่เคยทำงานเคลื่อนไหวเรื่องนี้มา แม้ปัจจุบันไม่ได้ทำหน้าที่ตรงนี้แล้วเนื่องจากปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนรุ่นใหม่ แต่ก็เอาใจช่วยกลุ่มคัดค้านการสร้างเขื่อนเต็มที่”

แอ๊ด คาราบาว
แอ๊ด คาราบาว

อดีตนักเคลื่อนไหวรุ่นเก่า มองปรากฏการณ์ ศศิน เฉลิมลาภ เดินเท้าคัดค้านการสร้างเขื่อนแม่วงก์ว่าเป็นความสวยงามของระบอบประชาธิปไตย

“สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือเมื่อคุณมีอำนาจ ไม่ใช่ว่าคุณจะทำอะไรก็ได้ เราต้องให้ความเคารพประชาชนที่เป็นเจ้าของพื้นที่นั้นๆ ด้วย ถามว่าการสร้างเขื่อน ป่าไม้สูญเสียไหม น้ำมันจะท่วมที่นาเขาไหม เข้าไปพูดคุยไปดูเหตุผล อย่างเพิ่งไปเชื่อ อย่างเห็นเขาแค่เดินขบวนก็ไปเชื่อตามเขา คุณต้องเข้าไปดูความเป็นจริง พอซะทีเหอะในยุคที่ใครลุกขึ้นมาจับไมค์แล้ว คุณก็เชื่อตาม แล้วก็กระโดดเข้าสังคายนา เรื่องแบบนี้ผมบาดเจ็บมาพอสมควรเหมือนกัน ถ้าคุณจะออกไปร่วมต้องรู้ให้จริง อย่างครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าการประชาพิจารณ์เหลาะแหละมาก รัฐบาลรีบจะเบิกงบให้ได้ จึงเกิดเป็นภาวะชิงสุขก่อนห่าม ดังนั้นจึงเป็นเรื่องประชาธิปไตยที่จะมีการต่อสู้คัดค้านของประชาชน”

สุดท้าย แอ๊ค คาราบาว กล่าวว่า ตนเองอยากฝากไปยัง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อยากให้มีความเป็นธรรม และควรจะให้ ‘รายการคนค้นฅน’ ออกอกากาศและให้คนดูตัดสินใจใช้วิจารณญาณกันเอง

“ผมว่าคนที่ติดตามรายการนี้รู้อยู่แล้ว ว่ามันดี ผมการันตีว่าเป็นรายการที่ดี อาจจะมีผิดพลาดบ้างแต่ก็เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สิ่งที่พวกเขาทำสังคมไทยทุกคนกล้าพูดว่า ‘รายการคนค้นฅน’ ของจริง ฉะนั้นรัฐบาล หรือทางสถานีต้องเปิดใจกว้างให้เทปนี้ออกอกาศไป แล้วก็เอาปัญหามาแก้ไข นี่แหละประชาธิปไตยของจริง ต้องออนแอร์ให้ประชาชนตัดสินไม่ใช่ปิดหูปิดตา ส่วนผู้ที่คัดค้านการสร้างเขื่อนผมอยากจะบอกว่า ถ้าเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่ทำถูกจากข้อมูลที่แท้จริงแล้วลุยเลย เพราะป่าไม้คือสมบัติของชาติสมบัติของแผ่นดินเป็นสมบัติของคนไทยทุกคน วันนี้ป่ามันน้อยเต็มที เขื่อนเราเยอะกันไปแล้ว ก็แก้ไขอะไรไม่ได้ ไม่รู้กี่เขื่อนต่อกี่เขื่อนเวลาฝนตกหนักก็ช่วยอะไรไม่ได้ เวลาน้ำท่วม หรือน้ำแล้ง ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวกับน้ำท่วมเป็นหลัก เรื่องเหล่านี้รัฐบาลต้องกล้าพูดความจริง เลิกโกหกเลิกปิดบังความจริง และปิดหูปิดตาประชาชน ทำไมไม่เอาเหตุผลมาคุยกันบนโต๊ะว่าข้อเท็จจริงในการสร้างเขื่อนแม่วงก์คืออะไร แล้วก็ทำประชาพิจารณ์กันอย่างโปร่งใสทั่วถึง ไม่ต้องรีบร้อน อย่างที่ผมบอกป่าไม้เราน้อยลงทุกวัน”

ยุคสมัย ‘เผด็จการ’ ด้วยตัวเอง ยุคไดโนเสาร์ล้านปี..!

ขณะที่ น้าหมู พงษ์ เทพ กระโดนชำนาญ ศิลปิน นักเคลื่อนไหว กล่าวว่า หลังจากรู้ข่าวการแบน ‘รายการคนค้นฅน’ เทป นายศศิน เฉลิมลาภ เดินคัดค้านเขื่อนแม่วงก์ถึงกับ ตกใจเพราะไม่เชื่อว่าจะมีการปิดหูปิดตาประชาชนในยุคที่รัฐบาลอ้างว่าตัวเอง เป็นประชาธิปไตยเลยจริงๆ

“ผมว่าการที่รัฐบาลแบนโน่น นี่น่าจะหมดยุคสมัยเผด็จการแบบนี้ไปนานแล้ว มันเชยมาก ต้องใจกว้างให้เขาแสดงความคิดเห็นกันทุกๆ ฝ่าย ไม่ใช่ฝ่ายรัฐบาลฝ่ายเดียว ไม่ใช่ฝ่ายนายปลอดประสพ สุรัสวดี พูดฝ่ายเดียว โลกสมัยนี้ไม่ต้องกลัวข้อมูลข่าวสารข้อมูลข่าวสารเป็นสิ่งที่น่าเข้าถึง สิ่งที่คุณทำต้องมีคนทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เอาข้อมูลมาถก หาทางออกกัน เราไม่ได้ถือปืนถือมีดเดินขบวนต่อต้านการสร้างเขื่อน การแบนถือว่าถอยหลังเข้าไปในยุคสมัย ‘เผด็จการ’ ด้วยตัวเอง อ้างว่าตัวเองเป็นประชาธิปไตย อันนี้คือปัญหา ผมดูช่องต่างๆ ทางดาวเทียมแต่ละกลุ่มแต่ละพรรคการเมืองพยายามเข้าไปฟัง แต่ก็ทนฟังไม่ไหว เพราะพวกเขาพยายามจะเอาตัวเองถูกที่สุดตั้งธงไว้ก่อนว่า โจมตีว่าฝั่งตรงข้ามพูดผิด มันเลยไม่ยอมรับข้อมูลกันละกัน ซึ่งการแบนรายการดีๆ แบบนี้ไม่ควรอย่างยิ่ง ยิ่งในโลกยุคข่าวสารแบบนี้ด้วยมันปิดตาประชาชนไม่ได้เพราะว่าโลกโซเชียลฯ โลกที่เขาติดต่อสื่อสารทั้งโลกเขารู้กันหมดแล้ว แล้วคุณจะทำไปเพื่ออะไร เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกแย่เหรอ ยิ่งทำแบบนี้ทำให้สังคมโลกมองว่า รัฐบาลไทยที่อ้างว่าประชาธิปไตย เรียกร้องกันจังทั้งฝ่ายโน่นฝ่ายนี้ ผมถอยตัวมาตั้งแต่เรื่องการแบ่งกลุ่มสีต่างๆ กลุ่มก๊ก ผมบอกเด็ดขาด ปีนี้ผมอายุ 60 ปี ผมเกษียณซะที เรื่องความคิดทางการเมืองพอแล้ว” นายพงษ์เทพ ระบุ

ทั้งนี้ นักเคลื่อนไหวชื่อดัง กล่าวฝากไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องการการแบน ‘รายการคนค้นฅน’ ด้วยว่าต้องไต่ตรองเพราะพวกคุณเป็นผู้ใหญ่ แล้วโลกที่คุณกำลังบอกว่าเป็นประชาธิปไตยก้าวไปด้วยกัน จะเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เราต้องรู้สึกละอายที่ปิดกั้นข้อมูล ให้กับประชาชน ประชาชนตัวเองจะเข้าหาข้อมูล แต่ว่ากลับปิดตาประชาชนตัวเองแล้วประชาชนตัวเองก็วิ่งไปหาข้อมูลจากต่างประเทศมา มันน่าอับอาย

“ผมอยากจะบอกว่าพวกเราต้องเชื่อว่าประชาชน ประเทศไทยมีวิจารณญาณ อย่ากลัวการเปิดเผย อย่ากลัวว่าจะทำให้ประชาชนเราฉลาด และหากมีการชุมนุมคัดค้านเรื่องสิ่งแวดล้อมผมยินดีเข้าร่วมอยุ่แล้ว คนเฒ่าคนแก่โบราณบอกไว้ว่า ถ้าไม่ให้น้ำท่วมต้องมีป่า ไม่ใช่ไม่ให้น้ำท่วมต้องตัดป่า เพื่อสร้างเขื่อน ไม่ใช่ มันตรงข้ามกัน นักวิชาการทั่วโลกบอกว่าสาเหตที่น้ำท่วมเพราะไม่มีป่าซับน้ำ กั้นน้ำให้ชะลอตัว แล้วคุณก็ไปตัด เหมือนปี 2554 พอน้ำเต็มเขื่อนก็ปล่อยมาเขื่อนมันก็ใช้ไม่ได้เหมือนเดิม แล้วก็ไม่มีคนรับผิดชอบ” ศิลปินเพื่อชีวิตชื่อดังกล่าว

สื่อมวลชนกำลังอยู่ในบรรยากาศของความหวาดกลัว…!

ขณะเดียวกัน นายประสาน อิงคนันท์ รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายผลิต บริษัท ทีวีบูรพา จำกัด กล่าวผ่านไทยรัฐออนไลน์หลังเข้าไปพูดคุยกับ นายเอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.อสมท ว่า เราไปชี้แจงข้อสงสัย ผู้ใหญ่ก็อธิบายให้ฟังว่าตอนนั้นไม่ได้ออกอากาศ เพราะว่าช่อง 9 เป็นห่วงเสียงกลุ่มโซเชียลมีเดียที่ไม่พอใจทางช่อง แล้วก็คิดไปต่างๆ นานา ว่ามีการเมืองเกี่ยวข้องไหม ซึ่งเขายืนยันว่าไม่มี พร้อมกับย้ำว่า การเรียกไปแก้ไข เพิ่มเติมนั้นเนื่องจากห่วงเรื่องความล่อแหลมเพราะมันอยู่ในสถานการณ์ร้อน ออกไปจะส่งผลกระทบอะไรได้ ซึ่งความเป็นห่วงกลัวจะไปขัดแย้งกับนโยบายรัฐบาลของพนักงานที่อยู่ในระดับปฏิบัติการเซ็นเซอร์ช่อง 9 กลัวว่าจะชิ่งกระทบมาถึงตัวเอง ซึ่งตัวผู้บริหารไม่ทราบเรื่องการเซ็นเซอร์มารู้หลังเป็นข่าวทางช่องก็บอกว่า ไม่ได้มาพูดว่าจะแบนหรือระงับ

“รอบแรกฝ่ายเซ็นเซอร์ช่อง 9 โทรมาบอกให้เราแก้ไข เราก็ปรับแก้ ตามที่ลิมิตในความเป็นจุดยืนและเวลาที่เรามีจะแก้ได้ไปตามนั้นจุดแรกคือ เนื้อหาที่อาจารย์ศศินเดินผ่าน อ.ลาดยาว มืดไม่สามารถที่จะนอนพักที่นี่ได้ จึงไปนอนพักที่อื่นแล้วตอนเช้าจึงกลับมาเริ่มเดินต่อจากจุดเดิม เพราะมีความกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัย อ.ศศินบอกในทำนองว่ามีแรงกดดัน เขาไม่อนุญาตให้เดิน เขาก็กลับมาให้ เราแก้จุดที่ 2 อีก คือตอนที่อ.ศศินบรรยากาศบ้านเมืองเหมือน 14 ตุลาคม 2516 กับ 6 ตุลาคม 2519 มันเป็นบรรยากาศที่ใครจะออกมาแสดงความคิดที่เห็นต่างแล้วจะมีความกังวล หวาดกลัว นี่เป็นจุดที่เขาอยากให้ปรับ เนื่องจากทางช่องเป็นห่วงเรื่องการยั่วยุ กลัวว่าการพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้จะเป็นการปลุกระดม เราก็ทำให้แต่ต้องไม่เสียจุดยืนของเรา”

ประสานบอกว่า ตนเอง พูดหลายทีว่า อยากให้มอง ตอนอาจารย์ศศินแม้ว่าจะดูเหมือนเรื่องต้านเขื่อนแม่วงก์ แต่จริงๆ แล้วรายการของเราพ้นเรื่องนี้มาแล้วทั้งหมดเป็นการพูดถึงการที่คนเล็กๆ คนหนึ่งกล้าหาญพอที่จะออกมาแสดงความเห็นต่าง ด้วยวิธีการสันติ กล้าทำในสิ่งที่ตัวเองต้องลงทุน ลงแรง เผชิญกับความยากลำบาก ด้วยวิธีสันติ นี่คือหัวใจ ที่น่าจะเป็นการแสดงตัวอย่างกับคนที่ไม่เห็นด้วยกับอะไรต่างๆ นี่มันโคตรจะประชาธิปไตยเลยนะ แต่ก็ไม่ว่าอะไรคนพิจารณา โดยความเป็นห่วงที่ต้องดูแลตำแหน่ง ดูแลงานของเขาไม่อยากจะเดือดร้อน ตนเข้าใจได้ เพราะว่าสังคมไทยเป็นสังคมลักษณะนี้อยู่แล้ว แต่ละคนจะกลัวเรื่องความรับผิดชอบ

เมื่อถามว่ายุคนี้เป็นยุคที่ปิดตาสื่อเต็มรูปแบบไหม.. ? ประสานบอกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาทั้งหมดทั้งก่อนที่รายการนี้จะถูกแบน ไม่ใช่เรื่องเฉพาะเซ็นเซอร์เรื่องนี้เรื่องเดียว มันเป็นบรรรยากาศโดยรวมของประเทศมากกว่า เป็นบรรยากาศแห่งความหวาดกลัว

“ผมเข้าใจนะ การที่พนักงานในระดับปฏิบัติงานอะไรลงไปเข้าใจว่ามันเป็นบรรยากาศประเทศโดยรวม มากกว่า ของสังคมที่จะเกิดมาระมัดระวัง เกร็งกลัว เพราะอาจจะมีตัวอย่างให้เห็นมาก่อนหน้านี้ ทำให้การตัดสินใจของเขาไม่ได้อยู่บนมาตรฐานของความอิสระ ทำให้เขามีความเกร็งจะได้รับผลกระทบแบบนี้ ผมเข้าใจเขาได้ ผมว่าถ้าเป็นบรรยากาศที่ปล่อยให้สื่อเขาได้พูดในสิ่งที่เขาอยากพูด นำเสนอในสิ่งที่เขาอยากนำเสนอในบรรยากาศอิสระ การตัดสินใจก็คงไม่ออกมาแบบนี้ อาจจะเป็นอีกแบบ เราต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าตอนที่เราไปทำอ.ศศิน เขายังไม่ได้ดังเลยนะ มีคนเดินอยู่แค่ 6 คนที่สุดแล้วเราก็ไม่รู้ว่าเขาเดินมาถึงกรุงเทพฯ จะมีคนเท่าไหร่ แต่ปัญหาคือมีคนมาก แตะหมื่น การนำเสนอเราไม่มีอะไรแอบแฝงอยู่แล้ว ต้องการนำเสนอเรื่องราวคนเล็กเพื่อแรงบันดาลใจ”

เมื่อถามว่าการทำงานหลังจากนี้ลำบากและต้องระวังตัวขึ้นไหม… ? ประสานบอกว่า รายการนี้ไปไกลเกินกว่าความขัดแย้งแทบจะทุกเรื่อง สมัยก่อนเรื่องเหลือแดงเราก็ทำ แต่เราก็ไม่ได้ทำเรื่องคนฆ่ากัน เพราะไม่เชื่อเรื่องหนทางแบบนั้น ก่อนหน้านี้เราก็ทำเรื่องยายไฮ ทำเรื่องกระเหรี่ยงถูกรุกที ทำเรื่องบ้านสีดำมาแล้ว

“กรณีแบบนี้เราไม่เชื่อหลทาง แค่ว่าเอาเขื่อนหรือไม่เอาเขื่อนแล้วมาทะเลาะกัน ผมมองว่าการที่เราทำเรื่องนี้ เรามองเรื่องความถูกต้อง ความชอบธรรมเป็นหลัก เรามองว่าคุณจะทำโครงการ อะไรก็แล้วแต่ คุณต้องมองที่จุดเริ่มต้นว่า เป็นประโยชน์ ถูกต้อง และผ่านการพิจารณามาอย่างถี่ถ้วนจากผู้มีความรู้ทุกฝ่ายแล้วหรือยัง ไม่ใช่เรื่องของความรู้สึกที่ให้ผมไปสัมภาษณ์ว่าชาวบ้านเห็นควร หรือไม่เห็นควร เพราะอันนี้มันป็นเรื่องของความรู้สึกหมดเลย แล้วเราจะเอาอะไรมาตัดสิน เราก็ต้องเอาข้อเท็จจิรงที่ยอมรับได้ทั้ง 2 ฝ่าย แล้วตอบว่ามันคุ้มค่าหรือไม่ อันนี้แหละคือหัวใจของเรา ถามว่าอึดอัดชนิดอยากจะย้ายไปอยู่ช่องอื่นไหม เราอยู่ช่อง 9 มา 10 ปีแล้ว เริ่มต้นมากับช่อง 9 ทุกรายการ รายการแบบนี้ช่องอื่นเขาไม่มีพื้นที่ให้เราหรอก ซึ่งผมก็ขอบคุณช่อง 9 ที่ทำให้เราอยู่มาถึงวันนี้เหมือนกัน”

ล้างไพ่มาเฟีย สู่ ทีวีดิจิตอลคือทางออกพ้นความกลัว… !

ด้าน นางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสทช. กล่าวถึงกรณีนี้ว่า ชัดเจนว่าเป็นการปิดกันเสรีภาพเป็นบรรยากาศของความกลัวที่สะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เหนือเมฆ 2 ตอบโจทย์ เควอเตอร์ จนมา ‘รายการคนค้นฅน’ เทป นายศศิน เฉลิมลาภ สะท้อนให้เห็นว่าวัฒนธรรมความกลัวของฟรีทีวียังอยู่ทั้งๆ ที่สังคมมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ว่าฟรีทีวี จะมีมาตราฐานสวนกับสังคมเสมอ โดยเฉพาะเรื่องการเมือง แต่ว่าบางทีที่สังคมบอกว่าไม่เหมาะสม ฟรีทีวีกลับบอกว่าไม่เป็นไร จึงเป็นปัญหาของฟรีทีวีไทยนานแล้ว

“ถ้ามองในมุมบวกเนื้อหาในฟรีทีวีเองก็พยายามก็ปรับมากขึ้น อย่างละคร เหนือเมฆ 2 พยายามทำละครเสียดสีการเมืองซึ่งนานๆ จะมีที ตอบโจทย์ชัดเจนเลยเป็นเคสพิเศษ กรณีนี้ทำชีวิตการเดินขบวนไม่ค่อยได้เห็นบ่อยสื่อฟรีทีวีบางส่วนก็เริ่มขยับพื้นที่ในการออกอากาศที่หลุดไปจากกรอบเดิม บางส่วนก็ได้ แต่พอเริ่มไม่คุ้นชินมากเกินไป ก็ถูกทีวีของรัฐหรือฟรีทีวีที่มีอิทธิพลดึงกลับมาไม่ต้องแปลกใจว่าเนื้อหาเรื่องการเมือง หรือเนื้อหาอื่นๆ ทางเลือกจึงไปออกดาวเทียม หรืออินเตอร์เน็ตกันหมด เพราะว่ากองเซ็นเซอร์ของฟรีทีวีติดกรอบเดิมๆ เพราะว่าโครงสร้างยังไม่เป็นอิสระจากทางการเมือง เราก็พิสูจน์ไม่ได้ว่าการเมืองมาแทรกแซงหรือไม่เพราะว่าไม่มีใครยอมรับแต่โครงสร้าง สามารถทำให้แทรกแซงทางตรงได้อยู่ ถ้าฟรีทีวี และกองเซ็นเซอร์ไม่มีความเป็นมืออาชีพ ก็จะเกิดปรากฏการณ์แบบนี้ อะไรที่สังคมบอกว่าไม่ควรออกก็หลุดออกมาได้ อะไรที่สังคมไม่เห็นมีอะไรก็ออกมาได้ สะท้อนการทำงานของฟรีทีวีที่ต้องปรับตัวแล้ว โดยเฉพาะในยุคที่มีทีวีดาวเทียมมีอินเตอร์เน็ต มีทีวีดิจิตอลถ้าไม่ปรับตัว ก็จะเจอวิกฤตศรัทธาของสังคมต่อไปเรื่อยๆ แถมเรื่องเหล่านี้ยังกระทบชิ่งไปถึงรัฐบาลด้วยว่าเป็นรัฐบาลที่ยุคเสรีภาพสื่อถดถอยกสทช.ก็จะถูกวิจารณ์”

สุภิญญา กลางณรงค์
สุภิญญา กลางณรงค์

เมื่อถามถึงวิธีแก้ไข หนึ่งในกรรมการ กสทช.ผู้นี้ บอกว่า ต้องปฏิรูประบบฟรีทีวีของรัฐให้ออกมาจากระบบสัมปทาน หรือระบบที่การเมืองแทรกแซงทางตรงไม่ได้ อย่างที่เรากำลังจะเปลี่ยนผ่านไปสู่ทีวีดิจิตอล 24 ช่อง ยกเลิกสัมปทาน ก็จะมีทางเลือกใหม่ๆแล้วช่องใหม่ที่ไม่ได้อยู่ภายใต้รัฐก็จะมีเสรีภาพมากกว่านี้

ที่สุดแล้วไม่ว่จะการทำเพื่อเอาหน้าเอาตาจากผู้ใหญ่ในรัฐบาล หรือ ตกอยู่ในบรรยากาศความหวาดกลัว กระทั่งเป็นความหวาดกลัวส่วนตัวของฝ่ายเซ็นเซอร์ช่อง ที่แม้ว่าล่าสุดจะได้รับการยืนยันจากปากผู้บริหารของโมเดิร์นไนน์ว่าเทป ‘รายการคนค้นฅน’ เทป นายศศิน เฉลิมลาภ ที่ถูกแบนนี้ จะกลับมาออนแอร์อีกครั้งในเวอร์ชั่นยูทูบในวันที่ 12 ต.ค.ที่จะถึงนี้ แต่ทว่าเหตุการณ์แบนรายการ ‘คนค้นฅน’ ตอนนายศศิน เฉลิมลาภ ได้สะท้อนถึงบรรยากาศไร้เสรีภาพในการแสดงออกของสื่อมวลชนได้อย่างชัดเจน.

 

ไทยรัฐ


uasean

 

เครดิตและบทความเรื่องอื่นๆของ chaoprayanews.com ดูทั้งหมด

216

views
Credit : chaoprayanews.com


สงวนลิขสิทธิ์ © 2556 uAsean.com มหานครอาเซียน