เอสซีจีปรับแผนรวม3ธุรกิจ รุกลงทุนอาเซียน

 

"เอสซีจี"ปรับโครงสร้างการบริหาร รวม 3 ธุรกิจเป็นเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง รองรับการขยายธุรกิจในอาเซียน

นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับโครงสร้างการบริหารงานภายใน โดยรวม 3 ธุรกิจของเอสซีจี ได้แก่ ซีเมนต์, ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และจัดจำหน่าย เข้าด้วยกัน รวมเรียกว่า เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง หรือ SCG Cement-Building Materials นั้นถือเป็นกลยุทธ์เชิงรุกของเอสซีจีในการขยายธุรกิจในอาเซียน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการลงทุน

โดยกลุ่มเอสซีจี มีแผนที่จะลงทุนในธุรกิจนี้ เฉพาะโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ โรงไฟฟ้าและระบบโลจิสติกส์ เงินลงทุนรวมประมาณ 1,500 ล้านดอลลาร์ ที่อินโดนีเซีย ขนาดกำลังการผลิต 1.8 ล้านตัน วงเงินลงทุนประมาณ 400 ล้านดอลลาร์ ขณะนี้อยู่ระหว่างการประมูลหาผู้รับเหมาก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปลายปี 2558

โครงการลงทุนโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ โรงไฟฟ้าและระบบโลจิสติกส์ ที่พม่า ขนาด 1.8 ล้านตัน มูลค่าลงทุน 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกัน โดยความคืบหน้าของโครงการอยู่ระหว่างการรอการอนุมัติจากรัฐบาลพม่า ซึ่งทั้งสองโครงการเป็นการลงทุนแบบGreenfield ที่กลุ่มต้องไปลงทุนจัดหาที่ดินและสร้างโรงงานใหม่ทั้งหมด ส่วนอีกโครงการคือการก่อสร้างโรงงานผลิตปูนซีเมนต์ เฟสที่ 2 ที่กัมพูชา ขนาดกำลังการผลิต 9 แสนตัน มูลค่าการลงทุน 170-180 ล้านดอลลาร์ คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2558

นอกจากนี้ทางกลุ่มเอสซีจี ยังจะมีการพิจารณาลงทุนขยายโรงงานปูนซีเมนต์ ในเฟสที่ 2 ที่อินโดนีเซียและพม่า รวมกันอีกประมาณ 600 ล้านดอลลาร์ หลังจากที่ดำเนินการก่อสร้างเฟสแรกแล้วเสร็จแล้ว เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ ทั้งสองประเทศ ยังเติบโตในระดับสูงคือเฉลี่ยประมาณ 10%

ชูจุดแข็ง HVA สร้างรายได้

นายกานต์ กล่าวว่า ธุรกิจซีเมนต์ -ผลิตภัณฑ์ เป็น ธุรกิจที่มีสัดส่วนของสินค้าที่มีเทคโนโลยีในการพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (High Value Added Products & Services : HVA) ในสัดส่วนประมาณ 40% โดยธุรกิจดังกล่าวคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต โดยในปีที่ผ่านมา ธุรกิจดังกล่าวมียอดขายรวม 154,537 ล้านบาท หรือคิดเป็น 36% ของรายได้จากการขายรวมทั้งหมด มีกำไรสุทธิรวม 13,129 ล้านบาท หรือประมาณครึ่งหนึ่งของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวมของบริษัท และคาดว่าสัดส่วนรายได้รวมของธุรกิจนี้จะเพิ่มขึ้นจาก 36% เป็นมากกว่า 40% ของรายได้จากการขายรวมทั้งหมด ในอีก 5 ปีข้างหน้า

นอกเหนือจากแผนการลงทุนโรงงานผลิตปูนซีเมนต์แล้ว ล่าสุดกลุ่มเอสซีจียังได้เข้าถือหุ้นใน Prime Group Joint Stock Company หรือ Prime Group ผู้ผลิตกระเบื้องเซรามิกชั้นนำของเวียดนาม 85% อย่างสมบูรณ์แล้ว ด้วยมูลค่าธุรกิจประมาณ 7,200 ล้านบาท ส่งผลให้เอสซีจีมีกำลังการผลิตเซรามิกรวมทั้งหมด 225 ล้านตารางเมตร สูงสุดเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดย 48% อยู่ในประเทศไทย 33% ในประเทศเวียดนาม 14% ในประเทศอินโดนีเซีย และ 5% ในประเทศฟิลิปปินส์

เดินหน้าเทคโอเวอร์ธุรกิจอาเซียน

"การเข้าซื้อกิจการยังเป็นเป้าหมายสำคัญของกลุ่มเอสซีจี ในการขยายการเติบโตธุรกิจในภูมิภาคอาเซียนในอนาคต"นายกานต์ กล่าว

สำหรับการพัฒนาสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่ม (HVA) ในภาพรวมเพื่อเติบโตสู่ผู้นำธุรกิจอย่างยั่งยืนในอาเซียนนั้น นั้น คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้อนุมัติการลงทุนเพื่อเพิ่มคุณภาพสินค้า และขยายการผลิต LDPE ของบริษัท ไทยโพลิเอททีลีน ในเอสซีจี เคมิคอลส์ อีก 60,000 ตันต่อปี รวมเป็น 152,000 ตันต่อปี ด้วยเงินลงทุน 2,475 ล้านบาท ซึ่งเป็นสินค้าที่ใช้ในอุตสาหกรรมเคลือบบรรจุภัณฑ์คุณภาพสูงที่มีศักยภาพเติบโตดี โดยจะเริ่มผลิตได้ในปี 2559

ที่ผ่านมา เอสซีจี มียอดขายสินค้า HVA เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาสแรกของปีนี้ เอสซีจีมียอดขายสินค้า HVA 37,504 ล้านบาท คิดเป็น 34% ของยอดขายรวม ขณะที่สินค้า SCG eco value มียอดขาย 22,668 ล้านบาท คิดเป็น 21 % ของยอดขายรวม เติบโตขึ้นจากปีก่อนซึ่งอยู่ที่ 14% ของยอดขายรวม

ค่าเงินแข็ง 1 บาท กระทบรายได้ 900 ล้านบาท

ในส่วนของกรณีของค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ทุกๆ 1 บาทต่อดอลลาร์ จะกระทบต่อธุรกิจของ กลุ่มเอสซีจี ประมาณ 900 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทมีการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไว้ในสัดส่วนประมาณ 50-75% จึงทำให้ได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นไม่มากนัก

รายได้ไตรมาสแรก 1.09 แสนล้าน โต 6%

สำหรับผลประกอบการไตรมาสแรกของ เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 109,439 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจกระดาษ และธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง โดยเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เอสซีจี มีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น 10% และมีกำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้น 27% เนื่องจากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และการฟื้นตัวของธุรกิจเคมีภัณฑ์

ส่วนธุรกิจของเอสซีจีในอาเซียนนอกเหนือจากประเทศไทย ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2556 มีรายได้จากการขาย 8,280 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 8 ของรายได้รวม เพิ่มขึ้น 36% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบัน เอสซีจีมีสินทรัพย์รวมในอาเซียน มูลค่า 53,634 ล้านบาท หรือประมาณ 13% ของสินทรัพย์รวมของบริษัท เมื่อแยกตามรายธุรกิจ เอสซีจี เคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 53,478 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายและราคาขายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,629 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 112% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

เอสซีจี เปเปอร์ มีรายได้จากการขาย 15,074 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นของธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์และธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,342 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนเอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 43,237 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น รวมถึงการรวมรายได้จากกิจการคอนกรีตผสมเสร็จในประเทศอินโดนีเซีย โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,042 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/business/business/20130425/502203/เอสซีจีปรับแผนรวม3ธุรกิจ-รุกลงทุนอาเซียน.html

 

เครดิตและบทความเรื่องอื่นๆของ paidoo.net ดูทั้งหมด

447

views
Credit : paidoo.net


สงวนลิขสิทธิ์ © 2556 uAsean.com มหานครอาเซียน