รศ.ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ชี้แนะการพัฒนาประเทศด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง !
รศ.ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ชี้แนะการพัฒนาประเทศด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง !
ภาณุมาศ ทักษณา
เช้านี้ 15 พ.ค.56 ผมตัดสินใจสะสางโต๊ะทำงาน และจัดตู้หนังสือในห้องทำงานให้เป็นหมวดหมู่ หลังจากที่เคยจัดเอาไว้แต่ตอนหลังเละเพราะอ่านแล้วเก็บไปม่เป็นที่เป็นทาง
แล้วผมก็โชคดีพบหนังสือปกสีฟ้าหนาไม่มากคือ 60 กว่าหน้า ที่ปกเขียนว่า
“การเผยแพร่ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง” โดย รศ.ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา
มีคำอธิบายว่าเป็นการปรับจากการบรรยายเรื่องนี้ ที่กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2552 แต่เมื่อเปิดอ่านดูแล้วช่างเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบันจริง ๆ ครับ
ปัจจุบัน รศ.ดร.จิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากในหลวง ให้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิดและต้องดูแลงานในพระราชดำริหลายเรื่อง
แต่ที่ต้องดูแลอย่างใกล้ชิดที่สุดคือ ทรัพย์สินในส่วนของพระมหากษัตริย์ ในตำแหน่ง
ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ครับ
ผมเคยพบท่านสมัยที่ท่านเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และผมเป็น บ.ก.ข่าวเศรษฐกิจ ของหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งผมจึงเรียนท่านว่าอาจารย์ตั้งแต่นั้นมา
ในวันที่ไปบรรยายที่กระทรวงการต่างประเทศ เมื่อ 4 ปีที่แล้วท่านได้ให้ความกระจ่างเกี่ยวกับ หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเอาไว้อย่างด้าน อ่านแล้วเข้าใจง่าย
ผมอ่านทั้งคำบรรยายของท่านและการเสวนาเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงในมิติต่าง ๆ โดยบุคคลอื่น ซึ่ง ดร.ปรียานุช พิบูลสราวุธ เป็นผู้ดำเนินรายการแล้ว เห็นว่าน่าจะบางเรื่องมาเผยแพร่ต่อ
จึงขออนุญาตอาจารย์จิรายุ และ ดร.ปรีขานุช มา ณ ที่นี้เลยนะครับ เพราะการพูดถึงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงนั้น พูดเมื่อไหร่ก็ยังทันสมัยอยู่เสมอครับ
อีกทั้งยังเป็นการ “กระตุกคนที่กำลังเหลิง” ให้กลับมา “ตั้งหลักใหม่” ได้ดีนัก
หากคนที่ถูกกระตุกยังมีสติ และไม่รั้นจนเกินไปนัก อย่างตอนนี้ รัฐบาลที่มาจากนักการเมือง กำลัง “คิดการใหญ่”
กู้เงิน 3.5 แสนล้านมาแก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง ยังไม่พอ
ยังจะกู้เงินอีก 2.2 ล้านล้านบาทมาพัฒนาการขนส่งขั้นพื้นฐานของประเทศเหมือน “คนหน้ามืด” ที่ไม่รู้จักเจียม
ผมเข้าใจดีครับว่า ประเทศต้องได้รับการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า ให้ทัดหน้าเทียมตาประเทศเพื่อนบ้าน หรือจะอ้างว่าเพื่อรองรับประชาคมอาเซียนก็ตามใจเถิด..
เรื่องนี้อาจารย์จิรายุ พูดให้สติไว้ในหัวข้อ การพัฒนาประเทศด้วยปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง โดยท่านได้ชี้ให้เห็นว่า “ควรจะมุ่งสร้างฐานรากที่มั่นคง” เสียก่อน
อาจารย์จิรายุบอกว่า
ประการแรก ต้องทำให้ประชาชนโดยทั่วไปมีความพออยู่พอกินก่อน คือจะพัฒนาประเทศแข่งกับใครก็ไม่เป็นไร แต่ต้องทำให้สมดุล คือพัฒนาพื้นที่ที่ประชาชนยังยากจนอยู่ด้วย
ประการที่สอง ท่านบอกว่าก่อนจะเปิดประเทศต้องนึกถึงความสามารถและความพร้อมของสาขาเศรษฐกิจที่จะเปิดได้ จึงควรเปิดแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่เปิดทีเดียว
ข้อนี้อาจารย์จิรายุเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า “ลมพัดเข้ามาก็อาจจะทำให้ผู้ที่อ่อนแออยู่ล้มไป”
(ข้อนี้ ชัดเจนครับ หากเปรียบทุนนอกเป็นน้ำก็กำลังจะท่วมเศรษกิจไทยแล้วละครับ)
ประการที่สาม อาจารย์บอกว่า จะต้องสร้างฐานการผลิต คือ ต้องทำฐานการผลิตของเราให้มีความมั่นคง และไม่ล้มไประหว่างที่มีการเปลี่ยนแปลงรุนแรงจากต่างประเทศ
(ข้อนี้ก็น่าเป็นห่วงครับ อีก 2 ปีทุกประเทศในอาเซียนจะไร้พรมแดน สินค้าประเภท เอสเอ็มอี.จากต่างชาติคงทะลักเข้ามา หากสินค้าเหมือนกัน แต่ของต่างชาติราคาถูกกว่า ก็น่าเป็นห่วง เอสเอ็มอี.ไทยนะครับ)
อาจารย์จิรายุย้ำว่า สิ่งเหล่านี้ คือ ข้อแนะนำสำหรับการพัฒนาประเทศในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งคิดว่าสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)คงเข้าใจ
ท่านบอกว่า “เพียงแต่ต้องสามารถยืนหยัดอยู่ได้ ภายใต้ความสมดุลของแนวทางการพัฒนานี้”
คำบรรยายหัวข้อนี้ของอาจารย์จิรายุ มีขึ้นก่อนที่รัฐบาลไทยและหน่วยงานต่าง ๆ จะ “ตื่นตัว” เพื่อ “ตั้งรับ” ประชาคมอาเซียนนะครับ แต่ทุกเรื่อง “เหมือนท่านเตือนให้รู้ล่วงหน้า”
แต่น่าเสียดายนะครับ ที่รัฐบาลที่มาจากนักการเมืองไม่เคยใส่ใจหรือตระหนัก
พรรคการเมืองที่อาสาเข้ามาบริหารประเทศต่างกำหนดนโยบายทั้ง “เพ้อฝัน” และ “เพ้อเจ้อ”
คืออยากทำโน่นนั่นนี่ โดยหาได้ใส่ใจแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ สภาพัฒน์ (สศช.)ได้ระดมสมองจากนักวิชาการทุกสาขามา “ยกร่าง” เอาไว้ให้
ประจักษ์พยานในเรื่องที่ผมหยิบกมาอ้างก็คือ โครงการรถไฟความเร็วสูงนั่นไงครับ หลังจากออกข่าวซะใหญ่โตว่าจะสร้างเส้นนั้นเส้นนี้ นั่งไง
เมื่อ คุณชัชชาติ สิทธิพันธ รมว.คมนราคม ส่งโครงการนี้ไปให้ สภาพัฒน์ได้พิจารณากลั่นกรองใหม่ ปรากฎว่าถูกสภาพัฒนฯ ทักท้วงกลับว่าไม่คุ้ม
ไม่เฉพาะ สภาพัฒน์นะครับ แม้แต่ ทีดีอาร์ไอ.ก็วิเคราะห์แล้วว่าเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้ม และที่น่าเป็นห่วงก็คือ โครงการนี้อาจเป็นช่องทางให้เกิดการคอรัปชั่นได้อีกด้วย
ผมจึงอยากให้รัฐบาลที่มาจากนักการเมืองได้ทบทวนความคิดในการพัฒนาประเทศดูใหม่นะครับ
แนวทางที่อาจารย์จิรายุพูดมานี้ ไม่สลับซับซ้อนเลย
ขอแต่เพียงให้รัฐบาลที่มาจากนักการเมือง “ยอมรับความจริง”และ “รับฟังเสียงชาวบ้าน” บ้าง
ว่า เรามีความในเรื่องไหนบ้าง และควรทำอะไรก่อนหลังบ้างเท่านั้นครับ.
- องค์กรสิทธิฯประสานเสียงร้องให้ปล่อยตัว14นักศึกษา หลังถูกขังเรือนจำ กลุ่มปชต.ใหม่แถลงสู้ต่อ
- “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ” ทรงเป็นประธาน ในพิธีไหว้ครูและพระราชทานเหรียญรางวัลการศึกษาแก่นักเรียนนายร้อยประจำปีการศึกษา
- “รมว.พลังงาน” จ่อขยับภาษีแอลพีจีภาคขนส่ง
- สหรัฐพร้อมช่วยชาติในอาเซียนรับภาระผู้อพยพ
- “ททท.”ชี้คนจีนแห่เที่ยวไทย-คาดปีนี้ไม่ต่ำกว่า 6ล้านคน