น้องบิ๊กตู่ผช.ผบ.ทบ. ‘บิ๊กต๊อก’ ขยับไปรองปลัดกห.


น้องบิ๊กตู่ผช.ผบ.ทบ. ‘บิ๊กต๊อก’ ขยับไปรองปลัดกห.

บิ๊กโด่งผงาดผบ.ทบ.-รมช.กห. ‘ปนัดดา-สุวพันธุ์’รมต.สำนักฯ

ครม.ประยุทธ์ 1 บิ๊ก คสช.คอนโทรลภาพรวมทุกด้าน บิ๊กโด่ง “อุดมเดช” ว่าที่ ผบ.ทบ.นั่ง รมช.กลาโหมช่วยงาน “บิ๊กป้อม” เผยเก้าอี้ รมต.ประจำสำนักนายกฯ มี 2 ตัว “ปนัดดา” จ่อนั่งคู่ “สุวพันธุ์” ผอ.สำนักข่าวกรองที่ “บิ๊กตู่” ไว้ใจทำงานร่วมกัน มาตลอด เปิดสูตรตั้ง รมต. “ประยุทธ์” ใช้พลเรือนช่วยติวงานทหาร ขณะที่โผทหารประจำปี “บิ๊กต๊อก” ไพบูลย์ คุ้มฉายา โดนเขี่ยพ้น ทบ.ไปแขวนรองปลัด กห. “ฉัตรชัย” เพื่อนซี้ “บิ๊กตู่” ได้ดีเสียบรอง ผบ.ทบ. “บิ๊กป้อม” แผ่บารมีดันเด็กผงาดอื้อ ปชป.วิพากษ์หน้าตา ครม.ชี้ทีม ศก.ดีแต่ห่วงเจ๋งแค่ทฤษฎี ปฏิบัติสอบตก พท.ยังแคลงใจที่มาไม่สวย ประสานเสียงหนุนนายกฯลุยล้างคอร์รัปชัน สถาบันพระปกเกล้าจัดสัมมนาห่วงไทยทุจริตยังฝังราก เห็นคนโกงตำตายังนิ่งเฉย แนะ “บิ๊กตู่” จัดการเด็ดขาดแบบผู้นำจีน

หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้ทูลเกล้าฯถวายรายชื่อ ครม.ชุดใหม่ แต่สื่อมวลชนยังคงตามหารายชื่อรัฐมนตรีต่อไป โดยเฉพาะในบางกระทรวงที่ยังนิ่งเงียบ ไม่มีข่าวคราวหลุดออกมา ล่าสุดมีรายงานว่า พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ว่าที่ ผบ.ทบ. จะเป็น รมช.กลาโหม ด้วย

ครม.ประยุทธ์ 1 “อุดมเดช” นั่ง รมช.กห.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับรายชื่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ประยุทธ์ 1 ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษา ความสงบแห่งชาติ (คสช.) นำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมแล้ว จากรายชื่อส่วนใหญ่เป็นผู้มีบทบาทอย่างมากใน คสช. ตั้งแต่มีการเข้ามาควบคุมอำนาจการบริหาร ราชการแผ่นดิน ที่ประกอบไปด้วย ผู้บังคับบัญชาระดับสูงในกองทัพ คณะที่ปรึกษา คสช. สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อดีตรัฐมนตรี อดีต นายทหาร และข้าราชการระดับสูง และหลายตำแหน่งมีความชัดเจนแล้ว ขณะที่บางตำแหน่งมีการขยับจนถึงวันที่มีการนำขึ้นทูลเกล้าฯ โดยล่าสุด ในส่วนของกระทรวงกลาโหม ที่มีชื่อของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานทีมที่ปรึกษา คสช. เป็น รมว.กลาโหม นอกเหนือจากเป็นรองนายกรัฐมนตรีแล้ว ยังมีชื่อของ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ. เป็น รมช.กลาโหมด้วย ทั้งนี้ การที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้ พล.อ.อุดมเดช เป็น รมช.กลาโหม เพื่อให้การทำงานด้านความมั่นคงมีเอกภาพ การประสานงานระหว่างกองทัพและรัฐบาลมีความราบรื่น

“สุวพันธุ์” นั่ง รมต.ประจำสำนักนายกฯ

ขณะที่ตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวมาตลอดว่าจะมีเพียง 1 ตำแหน่ง ล่าสุดได้มีการจัดวางตำแหน่ง รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี 2 คน คือ ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี และมีรายงานข่าวว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ม.ล.ปนัดดาได้ให้เจ้าหน้าที่ประสานไปยังคณะกรรมการบอร์ด อสมท ว่าจะส่งเอกสารสำคัญบางเรื่องไปยังบอร์ด อสมท กับนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ ผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ทั้งนี้ นายสุวพันธุ์จะเกษียณอายุราชการในเดือน ก.ย.นี้ หลังจากครบการต่ออายุราชการ 1 ปี ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งนี้ นายสุวพันธุ์เป็นอีกคนที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้ความไว้วางใจ และทำงานร่วมกันมาตลอด โดยเฉพาะในช่วงที่มีการชุมนุมทางการเมืองในปี 53 ที่มีการ ตั้งศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.)

ใช้สูตรตั้ง รมต.ผสมพลเรือน–ทหาร

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับสูตรการตั้งรัฐมนตรีครั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์พยายามจะตั้ง รมช.ในกระทรวงที่สำคัญ และมีงบประมาณ ภารกิจมาก เป็นกระทรวงใหญ่ โดยมีทั้งพลเรือนและทหารเข้าไปนั่งทำงาน เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย โดยหาก กระทรวงไหนที่เป็นทหารนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการ แล้วเกรงว่าอาจใช้เวลาเรียนรู้งานนาน ก็จะใช้สูตรเอาอดีตข้าราชการในกระทรวงนั้นๆมาเสริมทัพเพื่อจะได้ขับเคลื่อนงานไปได้เร็ว เช่น กระทรวงการต่างประเทศที่ตั้ง พล.อ.ธนะศักดิ์ ผบ.ทหารสูงสุด เป็น รมว.ต่างประเทศ ก็เอานายดอน ปรมัตถ์วินัย อดีตทูตไทยหลายประเทศ อดีตโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ที่มีประสบการณ์ด้านการต่างประเทศมาหลายสิบปี มาเป็น รมช.กระทรวงการต่างประเทศ เพื่อให้ทำงานได้ทันทีเช่นเดียวกับกระทรวงมหาดไทยที่ตั้ง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา มาเป็น รมว.มหาดไทย ก็ตั้งนายสุธี มากบุญ อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย-อดีตผู้ว่าฯนครราชสีมา เพื่อนมัธยมศึกษาโรงเรียนอำนวยศิลป์ของ พล.อ.อนุพงษ์ ที่มีประสบการณ์มาหลายสิบปีมาเสริมทีม พล.อ.อนุพงษ์

โผ ทบ.เขี่ย “บิ๊กต๊อก” นั่งรองปลัด กห.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความ สงบแห่งชาติ (คสช.) ได้ลงนามในบัญชีรายชื่อแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปี และส่งให้สำนักราชเลขาธิการ เพื่อดำเนินการตามขั้นตอนในการนำขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยรายชื่อมีการปรับเปลี่ยนจากที่มีการเสนอจากเหล่าทัพเพียงบางตำแหน่ง พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล (ตท.13 )เสนาธิการทหาร เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม ส่วน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ถูกเขี่ยจากกองทัพบก ไปเป็นรองปลัดกระทรวงกลาโหม หลังจากมีข่าวว่า พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. เพื่อน ตท.12 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ถูกวางตัวให้เป็นประธานคณะที่ปรึกษา ทบ. ขอขึ้นอัตราจอมพลในตำแหน่งรอง ผบ.ทบ.

“วรพงษ์” ขึ้น ผบ.ทหารสูงสุดตามคาด

ทั้งนี้ กองบัญชาการกองทัพไทย พล.อ.วรพงษ์ สง่าเนตร (ตท.12) รอง ผบ.ทหารสูงสุด เป็น ผบ.ทหารสูงสุดตามคาด พล.อ.อักษรา เกิดผล (ตท.14) เสนาธิการทหารบก เป็น รอง ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.วุฒินันท์ ลีลายุทธ (ตท.13 )ผู้บัญชาการสถาบันวิชาการป้องกันประเทศ เป็น รอง ผบ.ทหารสูงสุด พล.ร.อ.ทวีวุฒิ พงศ์พิพัฒน์ (ตท.15) เสธ.ทร. เป็น รอง ผบ.ทหารสูงสุด พล.อ.สมหมาย เกาฏีระ (ตท.15) ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา (ผบ.นทพ.) เป็นเสนาธิการทหาร พล.อ.ทวีป เนตรนิยม (ตท.16) หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชา เป็น ผบ.นทพ.

5 เสือ ทบ. “บิ๊กโด่ง–ติ๊ก–หมู” นิ่ง

กองทัพบก พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร (ตท.14) รองผู้บัญชาการทหารบก เป็น ผบ.ทบ. พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ (ตท.12) เป็น รอง ผบ.ทบ. พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา (ตท.15) แม่ทัพภาคที่ 3 เป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.ท.ธีรชัย นาควานิช (ตท.14) แม่ทัพภาคที่ 1 และผบ.กองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย คสช. เป็น ผู้ช่วย ผบ.ทบ. พล.ท.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข (ตท.15) รอง เสธ.ทบ. เป็น เสธ.ทบ. พล.อ.วิชิต ศรีประเสริฐ (ตท.13) หน.ฝสธ. ประจำ ผบช. เป็นประธานคณะ ที่ปรึกษา ทบ. (อัตราจอมพล) พล.อ.สุรเชษฐ์ ชัยวงษ์ (ตท.14) รอง เสธ.ทบ. เป็นที่ปรึกษาพิเศษ ทบ. พล.ท.สุชาติ หนองบัว (ตท.15) ผช.เสธ.ทบ. ฝ่ายกำลังพล เป็นที่ปรึกษาพิเศษ ทบ.

ทั้งนี้ ตามโครงสร้างใหม่ ได้มีการยุบตำแหน่ง ผู้ช่วย เสธ.ทบ. 5 ตำแหน่ง และไปเพิ่มอัตราพลโท ในตำแหน่งรอง เสธ.ทบ.อีก 2 ตำแหน่ง เป็น 5 ตำแหน่ง (เดิม 3 ตำแหน่ง )โดยมีชื่อของ พล.ท.พิสิษฐ์ สิทธิสารท แม่ทัพน้อยที่ 1 เป็น รอง เสธ.ทบ. พล.ท.ศุภกร สงวนชาติศรไกร ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายกำลังพล เป็นรอง เสธ.ทบ. พล.ท.ภานุวัชร นาควงษม์ ผู้ช่วย เสธ.ทบ.ฝกร. เป็นรอง เสธ.ทบ.

โยก “กัมปนาท” คุมกำลังเป็น มทภ.1

ที่น่าสนใจคือการปรับเปลี่ยนแม่ทัพภาคยกแผง ไล่ตั้งแต่ พล.ท.กัมปนาท รุดดิษฐ์ (ตท.16) ผช.เสธ.ทบ. ฝ่ายยุทธการ และเป็นหัวหน้าศูนย์ปรองดองเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ เป็นแม่ทัพภาคที่ 1 พล.ต.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ (ตท.18) รองแม่ทัพภาคที่ 1 เป็นแม่ทัพน้อยที่ 1 ขณะที่ พล.ท.จารุเกียรติ ชัยวงษ์ (ตท.14) ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 พล.ท.สาธิต พิธรัตน์ (ตท.15) แม่ทัพน้อยที่ 3 เป็นแม่ทัพภาคที่ 3 พล.ต.ปราการ ชลยุทธ (ตท.15) รองแม่ทัพภาคที่ 4 เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 พล.ท.กิตติ อินทสร (ตท.14) ผช.เสธ.ทบ.ฝ่ายข่าว เป็นแม่ทัพน้อยที่ 4

เผย “บิ๊กป้อม” แผ่บารมีดันเด็กผงาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบัญชีรายชื่อโยกย้ายครั้งนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานที่ปรึกษา คสช.มีอิทธิพลในการผลักดันโผจากนายทหารที่ใกล้ชิดเข้าสู่ตำแหน่งหลักหลายตำแหน่ง เช่น พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล ได้เป็นปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ขึ้นเป็นผู้ช่วย ผบ.ทบ.วางตัวขึ้นเป็น ผบ.ทบ.คนต่อไป หรือแม้กระทั่งกองทัพภาคที่ 2 ที่ พล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่2 คนปัจจุบันซึ่งเป็นทหารในสายของ พล.อ.ประวิตร ก็สามารถผลักดัน พล.ท.จารุเกียรติ ขึ้นเป็น แม่ทัพภาคที่ 2 ได้สำเร็จ

“ไพบูลย์” ชี้ หน้าตา ครม.ไม่ถูกใจทุกคน

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม คสช.กล่าวถึงการจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.ที่จัดตั้งขึ้นอาจจะไม่ได้ดีในสายตาคนทุกคน แต่เชื่อว่าเป็นคนดีที่สังคมยอมรับ วางตัวเหมาะสมกับงานรอติดตามดูเนื้องานที่จะออกมาดีกว่า ส่วนที่ คสช.ต้องทำงานควบคู่กันไปกับรัฐบาลนั้น เพราะ คสช.เป็นคนคิด เข้าควบคุมอำนาจ ต้องรับผิดชอบต่อแผ่นดินประชาชนคนไทย ที่ทำสัญญาประชาคม ไม่ได้ต้องการอำนาจ แต่ต้องการแก้ไขปัญหา รวมถึงการที่หัวหน้า คสช.กับนายกฯเป็นคนเดียวกัน เป็นความจำเป็นในแง่ความมั่นคง ถ้าเป็นคนเดียวมันเบ็ดเสร็จในตัวในการทำงาน ถ้า พล.อ.ประยุทธ์เป็นเพียงหัวหน้า คสช. แล้วตั้งใครเป็นนายกฯปรากฏว่าไม่ดี ต้องไปเงี่ยหูฟังว่า รัฐบาลกำลังทำอะไร ทำตามโรดแม็ปหรือไม่ มันหงุดหงิด จะแกว่งไปหมด ถ้าหัวหน้า คสช.ไปปลดนายกฯ ลองคิดดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าต้องมานับหนึ่งกันใหม่ รัฐมนตรีต้องลาออกหมด โรดแม็ปก็รวนไปหมด ขอให้เข้าใจ

นายกฯไม่จำเป็นต้องควบ กห.

เมื่อถามว่า หัวหน้า คสช.จำเป็นหรือไม่ต้องนั่งเป็น รมว.กลาโหมด้วย พล.อ.ไพบูลย์ตอบว่า พล.อ.ประยุทธ์จะเป็นหรือไม่เป็น รมว.กลาโหมด้วยก็ได้ และตนก็ไม่ได้บอกว่าเป็นไม่ได้ แต่ถ้าพูดถึงเหตุผล เมื่อหัวหน้า คสช.คุมความมั่นคงเป็นหลัก และหัวหน้า คสช.เป็นคนเดียวกับนายกฯ มันก็ไม่จำเป็น

ปชป.ชี้ทีม ศก.ดีแต่ห่วงภาคปฏิบัติ

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รายชื่อตามโผ ครม.ที่ออกมาก็พอเข้าใจได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ต้องเลือกคนที่ไว้ใจมากที่สุดเข้ามาทำงาน เพราะเวลามีจำกัดแค่ 1 ปี แต่ที่น่าเป็นห่วงคือเครือข่ายทหารบางคนอาจจะทุจริตคอร์รัปชันเสียเอง แม้ พล.อ.ประยุทธ์จะประกาศว่าห้ามทุจริต แต่ถึงเวลาแล้วคงห้ามกันยาก ในส่วนของทีมเศรษฐกิจที่มี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นหัวหน้าทีมนั้น ถือว่าคัดเลือกคนเข้ามาทำงานเหมาะสมกับตำแหน่ง แต่ก็ขอฝากให้เข้าถึงปัญหาของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ทำงานแบบอุดมคติ ต้องลงมาพบปะประชาชน เพราะทีมเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะเป็นนักวิชาการที่อาจมองปัญหาในทางทฤษฎี ในทางปฏิบัติกว่าจะทำได้อาจต้องใช้เวลานาน แต่เกษตรกรมีความมีความเดือดร้อน กว่าจะถึงจุดที่แก้ปัญหาได้เขาอาจรอไม่ไหว

พท.แคลงใจที่มา รมต.ไม่สง่างาม

นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ไม่ขอวิจารณ์รายชื่อคณะรัฐมนตรีที่ปรากฏตามสื่อมวลชนขณะนี้ เพราะยังไม่ชัดเจนว่าเป็นไปตามนี้หรือไม่ แต่คงไม่มีปัญหา เพราะ พล.อ.ประยุทธ์คงเลือกคนที่จะเข้ามาแก้ปัญหาได้เท่าที่จะหาได้ ทั้งนี้ไม่ห่วงเรื่องคุณสมบัติ แต่ห่วงเรื่องที่มามากกว่า มันไม่สง่างาม

ยกร่างข้อบังคับฯเคาะเข้า สนช.4 ก.ย.

ที่รัฐสภา นายตวง อันทะไชย สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ในฐานะโฆษกคณะกรรมาธิการยกร่างข้อบังคับการประชุม สนช. กล่าวถึงความคืบหน้าการยกร่างฯ ข้อบังคับฯว่า ขณะนี้กรรมาธิการฯพิจารณาเสร็จแล้วและสรุปรายงานเสนอต่อประธาน สนช.เพื่อบรรจุเข้าสู่วาระการประชุม สนช.วันที่ 4 ก.ย.โดย ประเด็นสำคัญและถือเป็นมาตรฐานสูงสำหรับนักการเมืองซึ่งไม่เคยมีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใดมาก่อน คือ ข้อบังคับเกี่ยวกับการสิ้นสมาชิกภาพ ซึ่งกรรมาธิการฯ กำหนดว่า หากสมาชิก สนช. ไม่แสดงตนเพื่อการลงมติในการประชุมสภา สนช. โดยขาดการประชุมเกิน 1 ใน 3 ตามวงรอบ 3 เดือน หรือ 90 วัน จะสิ้นสุดสมาชิกภาพทันที ยกเว้นบุคคลที่ประธาน สนช.มอบหมายให้เป็นตัวแทนปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ หรือ ติดภารกิจ หรือป่วย ก็จะพิจารณาเป็นรายบุคคล ทั้งนี้ในแต่ละเดือนทางสำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสภานิติบัญญัติจะรวบรวมผลการลงมติในการเข้าประชุมเพื่อให้สมาชิกได้ตรวจสอบและถือเป็นการแจ้งเตือนให้ทราบ

คงอำนาจถอดถอนนักการเมือง

นายตวงกล่าวว่า สำหรับการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองข้อบังคับเป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เพียงแต่ปรับให้สอดคล้องเชื่อมโยงรัฐธรรมนูญชั่วคราว พ.ศ.2557 และมีประเด็นสำคัญคือคณะกรรมาธิการสามัญประจำ สนช.ที่กรรมาธิการฯ มีมติให้มี 15 คณะ เป็นไปตามประเด็นการปฏิรูปสอดคล้องโรดแม็ป คสช.และภารกิจสำคัญ

สนช.นัดถกวาระ ก.ม.ด่วน 4–5 ก.ย.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำนักงานเลขาธิการวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่เลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้ทำหนังสือด่วนมาก ที่ สว (สนช.) 0007/(น 8) ลงวันที่ 29 ส.ค. 2557 ถึงสมาชิก สนช. ตามที่นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช.ได้มีคำสั่งให้นัดประชุม สนช.ครั้งที่ 6-7/2557 ในวันที่ 4-5 ก.ย.นี้ เวลา 10.00 น. โดยมีวาระเรื่องด่วนเพื่อพิจารณาร่างความตกลงเพื่อการจัดตั้งสำนักงานวิจัยเศรษฐกิจมหภาคของภูมิภาคอาเซียน + 3 (AMRO) ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นผู้เสนอ

“บิ๊กตู่” เซ็นคำสั่งเสริมทีม ก.ม.คสช.

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้ลงนามในคำสั่ง คสช. เมื่อวันที่ 17 ส.ค. แต่เพิ่งมีการเผยแพร่ คือ คำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 119/2557 เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองงานด้านกฎหมาย โดยระบุว่าเพื่อให้การดำเนินงานด้านกฎหมายเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีความรอบคอบ และให้การบริหารราชการแผ่นดินเป็นไปด้วยความเรียบร้อย จึงมีคำสั่งแต่งตั้ง “คณะกรรมการกลั่นกรองงานด้านกฎหมาย” มี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม เป็นประธาน พล.ท.ฉัตรเฉลิม เฉลิมสุข เป็นรองประธานกรรมการ คณะกรรมการประกอบด้วย นายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษา คสช.ฝ่ายกฎหมาย นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ ปลัดกระทรวงยุติธรรม นายเทพ อิงคสิทธิ์ อดีตอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ นายสุนทร สิทธิเวชวิจิต อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา นายอดุลย์ ขันทอง ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ประจำสำนักประธานศาลฎีกา และอดีตรองอธิบดีศาลอาญากรุงเทพใต้ นายวีระพันธ์ พวงเพชร นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ กระทรวงยุติธรรม มี พล.ท.เยาวดนัย ภู่เจริญยศ เป็นเลขานุการ มีอํานาจหน้าที่กลั่นกรองเกี่ยวกับกฎหมาย กฎ ระเบียบ ที่ส่วนราชการและหน่วยงานต่างๆนําเสนอต่อ คสช.พิจารณา เสนอแนะแนวทางการดำเนินงานหรือแนวทางปรับปรุงกฎหมาย กฎ ระเบียบต่างๆ ส่วนราชการ หน่วยงานต่างๆ

ยอด 17 วัน สปช.เสนอชื่อ 4,584 คน

เมื่อเวลา 16.15 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายบุณยเกียรติ รักชาติเจริญ รองเลขาธิการ กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง แถลงสรุปยอดการเปิดรับการเสนอชื่อ สปช.วันที่ 17 ว่า ตลอดทั้งวันมีผู้ทยอยมาเสนอชื่อเข้ารับการสรรหาทั้งสิ้น 235 คน แบ่งเป็น ยื่นเองที่ กกต.166 คน ยื่นทางไปรษณีย์ 49 คน ระดับจังหวัด 20 คน สรุปตลอดการรับเสนอชื่อตั้งแต่วันที่ 14-30 ส.ค.มีผู้เสนอชื่อทั้งสิ้น 4,584 คน แบ่งเป็นนิติบุคคล 2,417 คน ระดับจังหวัด 2,167 คน ส่วนด้านที่มีผู้เสนอชื่อมากสุดคือด้านการศึกษา 404 คน น้อยสุดด้านสื่อมวลชน 105 คน

จม. “อลงกรณ์” ถึงมือฝ่ายรับเสนอชื่อ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงาน กกต. ซึ่งเป็นสถานที่เปิดรับการเสนอบุคคลเข้ารับการสรรหาเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) โดยสำนักงานกกต.ได้รับเอกสารการสมัครเข้าสรรหาเป็น สปช.ของนายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ส่งเข้ามาทางไปรษณีย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเอกสารดังกล่าวระบุว่า มูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย เสนอเข้ารับการสรรหาด้านพลังงาน ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจรับเอกสารกล่าวว่า ในเบื้องต้นหลังจากตรวจสอบเอกสารการสมัครเข้าเป็น สปช.ของนายอลงกรณ์ที่ส่งเข้ามามีความเรียบร้อยครบถ้วนสมบูรณ์ดี

อดีต กกต.-รองเลขาฯนายกฯร่วมเสนอชื่อ

ผู้สื่อข่าวรายด้วยว่า บรรยากาศการเปิดรับเสนอรายชื่อบุคคลเข้ารับการเป็น สปช.วันที่ 17 เป็นไปด้วยความเรียบร้อย มีผู้เดินทางมาเสนอชื่ออย่างต่อเนื่อง บุคคลที่มีชื่อเสียงเข้าเสนอชื่อ อาทิ ด้านการเมือง มูลนิธิสหพันธ์ครอบครัวเพื่อความสามัคคีและสันติภาพโลก เสนอชื่อ พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา อดีตประธาน กกต.กทม. สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เสนอนางฐะปาณีย์ อาจารวงศ์ รองเลขาธิการนายก รัฐมนตรีฝ่ายบริหาร ด้านสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สมาคมศัลยแพทย์ทั่วไปแห่งประเทศไทย เสนอชื่อ พล.ท.นพ.ปริญญา ทวีชัยการ พี่ชายนายสุทธิพล ทวีชัยการ อดีตเลขาธิการ กกต. สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ เสนอชื่อนายทวีจิตร จันทรสาขา นายกสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ ด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม สำนักงบประ-มาณเสนอชื่อ นายเฉลิมศักดิ์ จันทร์ทิม เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ด้านอื่นๆ สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เสนอ นายนิติกร กรัยวิเชียร น้องชายนายธานินทร์ กรัยวิเชียร อดีตนายกฯ ด้านสื่อสารมวลชน สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย เสนอนายวิสุทธิ์ คมวัชรพงษ์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และนายปฏิวัติ วิสิกชาติ กรรมการ สภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย

พท.เชียร์ “บิ๊กตู่” สางปัญหาคอร์รัปชัน

นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯและ รมว.ต่างประเทศ คณะกรรมการกิจการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ประกาศว่าถ้าพบรัฐมนตรีทุจริตจะให้ออกจากตำแหน่งนั้น ดีใจที่เห็นท่านพูดชัดเจน การทุจริตในแวดวงราชการจะได้หมดสิ้นไปจากผืนแผ่นดินไทยเสียที ขออวยพรให้บริหารประเทศลุล่วงไปด้วยดี ครม.ชุดใหม่ต้องรีบทำงานทันที ไม่มีเวลาฮันนีมูนแล้ว เพื่อรีบเดินหน้าบริหารประเทศทำให้คนไทยมีความสุข ส่วนกรณีกระจกประตูเข้าด้านหลังตึกไทยคู่ฟ้าแตก ซึ่งเป็นที่ทำงานของนายกรัฐมนตรีได้สอบถามโหราศาสตร์ที่นับถือ บอกว่ากลุ่มที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังหรือหน่วยงานที่อยู่ในทำเนียบรัฐบาล จะก่อปัญหาให้รัฐบาล จนรัฐบาลอยู่ไม่ได้ เรื่องนี้ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ปชป.พร้อมร่วมมือสนับสนุนข้อมูล

ด้านนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ โดยให้ความสำคัญกับการทุจริตคอร์รัปชันเป็นเรื่องแรกๆ ที่ต้องแก้ไขเร่งด่วนที่สุดใน 1 ปีว่า เป็นเรื่องดีที่ พล.อ.ประยุทธ์ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะตนเชื่อว่าเป็นคนที่พูดจริง ทำจริง และยุทธศาสตร์ของประเทศขณะนี้ คือ ต้องเร่งปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งส่วนตัวพร้อมให้ข้อมูลที่มีอยู่กับรัฐบาล ในฐานะที่เป็นอดีตที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริต สภาฯ

แนะ คสช.มุ่งปฏิรูปจิตสำนึกคน

นายราเมศ รัตนะเชวง คณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การปฏิรูปประเทศควรปฏิรูปคนมากกว่า เพราะถึงจะออกกฎหมายมาดีอย่างไร แต่ถ้าคนที่นำมาบังคับใช้ไม่ดีก็เป็นภัย กฎหมายนั้นก็ไร้ความหมาย เพราะกฎเกณฑ์ก็ไม่สามารถกรองจิตสำนึกของคนได้ มีตัวอย่างที่ชัดเจนคือ พรรคการเมืองบางพรรคเป็นฝ่ายค้านตามรัฐธรรมนูญแต่ไม่เคยทำหน้าที่ฝ่ายค้าน รัฐบาลที่ผ่านมาพูดถึงหลักนิติธรรมนับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยปฏิบัติ ทั้งที่ ส.ส.มีหน้าที่ออกกฎหมายให้เกิดประโยชน์กับคนไทย และประเทศชาติ กลับพยายามออกกฎหมายลบล้างความผิดในคดีทุจริตให้บางคนบางกลุ่ม ดังนั้นถ้าจะปฏิรูปในทุกด้าน แต่ไม่ปฏิรูปคน คงปฏิรูปประเทศไม่สำเร็จ ยังเชื่อในพระราชดำรัสที่ว่า การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย ต้องส่งเสริมคนดีได้ปกครองบ้านเมือง และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้

สัมมนาทุจริตไทยยังฝังลึกน่าห่วง

เมื่อเวลา 09.00 น. ที่โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ สถาบันพระปกเกล้าจัดงานสัมมนาเรื่อง “ปฏิรูปประเทศ ไทย : การต่อต้านการทุจริต” ภายใต้โครงการสัมมนา สู่ทศวรรษที่เก้า : ก้าวใหม่ของระบอบประชาธิปไตยไทย โดยนายวุฒิสาร ตันไชย รองเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวเปิดงานพร้อมปาฐกถาพิเศษว่า ค่านิยมของสังคมไทยที่ผ่านมา คนไทย 2 ใน 5 เคยให้สินบน สะท้อนให้เห็นว่าสังคมไทยมองเรื่องทุจริตเป็นเรื่องปกติ ระดับการทุจริตเริ่มตั้งแต่พื้นฐาน สาเหตุเกิดจาก 3 เรื่องใหญ่ คือ 1. การแก้กฎหมายที่เอื้อกับพวกพ้อง 2. การกระจายความมั่งคั่ง เกิดความเหลื่อมล้ำ 3. การปราศจากสถาบันที่จะตรวจสอบการใช้อำนาจที่ผิด ดังนั้นต้องทำให้การแก้ไขทุจริตเป็นวาระแห่งชาติ สำหรับกติกาในปัจจุบันเหมือนสร้างความเข้มแข็งเรื่องป้องกันทุจริต แต่กลับพบว่ากติกาได้ห้ามคนสุจริตทำงานไปด้วย ส่วนผู้นำประเทศต้องทำเป็นตัวอย่าง แม้จะมีคำกล่าวสะท้อนว่ารังเกียจการทุจริต แต่คำกล่าวอย่างเดียวไม่พอ ต้องปฏิบัติด้วย ประเด็นการผลัดกันเกาหลังต้องหยุด

เผยประชาชนเห็นตำตาแต่นิ่งเฉย

ขณะที่ น.ส.ถวิลวดี บุรีกุล ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า พร้อมคณะ นำเสนอเรื่อง “สถานการณ์การทุจริตในประเทศไทยและมาตรการต่อต้านการทุจริต” ว่า จากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับความพึงพอใจต่อการบริการสาธารณะและการทำงานของหน่วยงานต่างๆ พ.ศ. 2546-2556 ที่จัดทำโดยสำนักวิจัยและพัฒนาสถาบันพระปกเกล้า พบว่า ประชาชนเกินกว่าครึ่งมีประสบการณ์พบเห็นการทุจริตด้วยตนเอง แต่ไม่ได้ทำอะไร หรืออยู่เฉยๆ รองลงมาคือการเขียนจดหมายหรือโทรศัพท์แจ้งตำรวจหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและเขียนแจ้งไปยังหนังสือพิมพ์แต่ไม่ระบุชื่อตนเอง ทั้งนี้ สนช.ควรไปดำเนินการเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการขัดกันแห่งผลประโยชน์ เพื่อควบคุมนักการเมือง ส่วนการป้องกันมองว่าการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารมีความสำคัญอย่างยิ่ง ควรส่งเสริมให้สื่อมวลชนมีสิทธิเสรีภาพในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งปรับปรุงกฎหมาย ภาครัฐมีการเปิดเผยข้อมูลในกระบวนการ

แนะ “บิ๊กตู่” ฟันทุจริตเด็ดขาดแบบจีน

ต่อมามีการอภิปรายหัวข้อ “ปฏิรูปประเทศไทยด้วยการต่อต้านการทุจริต” เรื่อง “การปราบปรามการทุจริต” โดยนายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน กล่าวว่า การทุจริตไม่สามารถทำให้หมดไปได้ แต่ต้องหามาตรการทำให้เกิดขึ้นน้อย และสุภาษิตไทยที่ว่า หัวไม่ส่ายหางไม่กระดิก ก็สอดคล้องกับเรื่องนี้ ถ้านายกรัฐมนตรีไม่ทุจริต คนในสังคมก็จะไม่ทุจริตด้วย แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่พบนายกฯที่ไม่มีการทุจริตเลย และตราบใดผู้มีอำนาจรัฐเป็นคนที่คอร์รัปชันเสียเอง การปราบปรามการทุจริตก็จะไม่สำเร็จ ทุกวันนี้คนกล้าทุจริต เพราะผลตอบแทนความเสี่ยงมันคุ้มค่า หากถูกจับได้ไล่ทันเขาก็จะหาทางวิ่งเต้นในกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้หลุดพ้นความผิด สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช. ได้ให้ความสำคัญในการปราบปรามทุจริตก็ถือว่าเป็นนิมิตหมายที่ดี แต่ได้ฟังอย่างนี้มาทุกรัฐบาล จึงขอฝาก คสช. ว่าหากจะแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันต้องใช้อำนาจเบ็ดเสร็จอย่างผู้นำของจีน โดยไม่เห็นแก่หน้าใครแล้วเอาตัวเองเป็นต้นแบบ

จี้ คสช.อนุมัติ ก.ม.ต้องห้ามรับสินบน

ด้าน พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ อดีต ส.ว.สรรหา ในฐานะอนุกรรมการศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม อภิปรายหัวข้อ “การเสริมสร้างสังคมคุณธรรม” ว่า อนุสัญญาสหประชาชาติ ไทยให้ความเห็นชอบ ตั้งแต่ปี 2546 เราต้องอนุมัติกฎหมายให้เป็นไปตามสัญญา แต่ปัจจุบันยังไม่ได้ทำ ไทยต้องแก้ไขกฎหมายให้การรับสินบนถือเป็นอาชญากรรมและติดตามคดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพราะถือว่าการให้สินบนเป็นอาชญากรรมระหว่างประเทศ ส่วนทรัพย์สินที่ได้ต้องคืนไปสู่ประเทศที่เป็นเจ้าของ ทั้งนี้ได้เตือน พล.อ.ประยุทธ์ว่าอย่าลืมการเร่งออกกฎหมายที่เกี่ยวข้อง จำนวน 2 ฉบับ ให้เป็นไปตามอนุสัญญาต่อต้านคอร์รัปชันด้วย

“โอกาส” จุดพลุเลือกนายกฯโดยตรง

นายโอกาส เตพละกุล อดีตประธานที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ คสช.เดินหน้าปฏิรูปประเทศตามโรดแม็ปว่า ในฐานะที่เข้าร่วมอบรมหลักสูตรหลักนิติธรรมเพื่อประชาธิปไตยรุ่นที่ 2 วิทยาลัยรัฐธรรมนูญ สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ ได้เสนอหัวข้อเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแบบประเทศไทย โดยวางโครงการการบริหารประเทศให้เข้มแข็ง อาทิ เสนอให้นายกรัฐมนตรีมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชน มีวาระ 4 ปี เป็นได้แค่ 2 วาระ มาตรการนี้ป้องกันการซื้อเสียง ต่อให้พรรคการเมืองที่เข้มแข็งหรือเป็นบุคคลที่เก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถซื้อเสียงได้ทั่วประเทศ แต่นายกฯไม่มีอำนาจยุบสภา นายกฯจะพ้นตำแหน่งได้หากลาออก หรือประชาชนลงชื่อ 1 แสนคนขอลงประชามติให้นายกฯพ้นจากตำแหน่งในกรณีทำผิดต่อหน้าที่ ถ้าประชาชนลงมติไม่ไว้วางใจมากกว่าก็ให้พ้นจากตำแหน่ง เมื่อนายกฯพ้นจากตำแหน่งให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้รักษาการนายกฯจนกว่าจะมีนายกฯคนใหม่ และ กกต.จัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 60 วัน

จำกัดอำนาจ ส.ส. ป้องกันซื้อเสียง

นายโอกาสกล่าวอีกว่า ส่วน ครม.มาจากการแต่งตั้งโดยนายกฯ นายกฯสามารถดำเนินการปลดรัฐมนตรีได้ และ ครม.ทั้งคณะพ้นจากตำแหน่งเมื่อนายกฯพ้นจากตำแหน่ง นายกฯและ ครม.ต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและอาญาหากบริหารประเทศผิดพลาด ทำให้ประเทศเสียหาย รวมถึงนโยบายต่างๆที่ออกมาหากใช้งบประมาณแล้วมีผลเสียมากกว่าตัวเลขที่คาดการณ์ไว้ ให้เป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของนายกฯ เพื่อป้องกันผลเสียที่จะเกิดขึ้นกับประเทศ นายกฯจะได้ระมัดระวัง เมื่อรู้ว่านโยบายไหนเริ่มทำความเสียหายต่อประเทศจะต้องเข้าไประงับ ส่วน ส.ส.มาจากการเลือกตั้ง มีอำนาจเฉพาะออกกฎหมายและแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะได้ไม่กล้าซื้อเสียงเข้ามา และมีอำนาจอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลโดยไม่มีการลงมติ แต่จะส่งให้ประชาชนลงประชามติว่าไว้างใจรัฐบาลหรือไม่ เพื่อคงอำนาจของประชาชน นอกจากนี้สภาผู้แทนราษฎรต้องจัดเวทีให้ประชาชนมาร้องเรียนนายกฯและ ครม. เพื่อให้ประธานสภาฯนำเรื่องเข้าที่ประชุมให้นายกฯพร้อมรัฐมนตรีมาตอบปัญหาที่ต้องแก้ไข ไม่ให้ประชาชนต้องเดินขบวน

อบจ.ข้องใจ “ปนัดดา” 2 ก.ย.มาแน่

นายสัมฤทธิ์ เลียงประสิทธิ์ นายก อบจ.สตูล กล่าวว่า กรณี ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์สื่อรายวันพาดพิงการทำงานของ อบจ.ทั่วประเทศ ลักษณะเสียๆหายๆนั้น ทำให้ อบจ.ทั่วประเทศได้รับความเสียหาย เพราะ อบจ.ที่ดีก็มีมาก หากปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเห็นว่าใครไม่ดีให้ดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ใช่ออกมาให้สัมภาษณ์ดิสเครดิตไปวันๆ โดยเวลา 09.00 น. วันที่ 2 ก.ย.นี้ นายชัยมงคล ชัยรบ นายก อบจ.สกลนคร ในฐานะนายกสมาคม อบจ.แห่งประเทศไทย นัดสมาชิก อบจ.ทั่วประเทศ เดินทางไปพบกับ ม.ล.ปนัดดา เพื่อเคลียร์ใจกัน เพราะเห็นว่าการกระทำของ ม.ล.ปนัดดา อาจจะทำให้ประชาชนเข้าใจผิด ใครผิดใครถูกก็ว่าเป็นรายบุคคลไปไม่ใช่เหมารวมอบจ.ทั้งประเทศ

กปปส.ตั้งมูลนิธิหนุน คสช.ปฏิรูป

วันเดียวกัน นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ โฆษกคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (กปปส.) ให้สัมภาษณ์ว่า ทิศทางการเคลื่อนไหวของ กปปส.หลังจากนี้จะอยู่ภายใต้กฎกติกาเงื่อนไขของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และเกิดประโยชน์ เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปประเทศ ทั้งนี้ กปปส.จะเคลื่อนไหวในนามมูลนิธิ “มวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย” เพื่อสนับสนุนการปฏิรูปทุกรูปแบบ พร้อมสรุปแนวทางการปฏิรูปภายในระยะเวลา 1 ปี ตามโรดแม็ป คสช. และเสนอต่อสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ซึ่งจะรวบรวมกลุ่มเครือข่ายต่างๆ อาทิ นักวิชาการ และมูลนิธิอื่นๆ เพื่อดำเนินการศึกษาแนวทางการปฏิรูปประเทศ

ทำกิจกรรมควบคู่รอชั่งใจอนาคต

“ทั้งหมดจะเป็นไปตามเจตนารมณ์ของมวลมหาประชาชนที่สอดคล้องกับการปฏิรูปของ คสช.ใน 11 ด้าน ที่ตรงกับความต้องการของประชาชนเชื่อว่าประชาชนจะให้โอกาส คสช.และ สปช.ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ และมูลนิธิของ กปปส.ส่วนหน

 

เครดิตและบทความเรื่องอื่นๆของ chaoprayanews.com ดูทั้งหมด

687

views
Credit : chaoprayanews.com


สงวนลิขสิทธิ์ © 2556 uAsean.com มหานครอาเซียน