“ลิกมัน” ทุ่ม 1,500 ล. ผุดรง.-ศูนย์เรียนรู้ไลติ้ง เร่งผลิตบุคลากร ให้ความรู้สถาปนิกปูทางตลาดรุก AEC
ลิกมันฯ กางแผนปลุกตลาดไลติ้งไทย-อาเซืยน เร่งปั้นบุคลากร สร้างการรับรู้กลุ่มนักออกแบบสถาปนิก นักศึกษา หวังปั้นบุคลากรใหม่ สเปกสินค้าไลติ้งเข้าโครงการขนาดใหญ่ และที่อยู่อาศัยในอนาคต พร้อมทุ่ม 1,500 ล้านบาท ผุดโรงงานแห่งที่ 2 และศูนย์การเรียนรู้ LIGMAN Innovation Center แห่งแรกในประเทศไทย บนเนื้อที่ 85 ไร่ คาด 3 ปีเพิ่มสัดส่วนจำหน่ายในประเทศเป็น 15% จากเดิม 10% พร้อมดันยอดส่งออกในตลาดอาเซี่ยนเพิ่ม 2-3% วางเป้าปี 56 ยอดขาย 1,000 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้าที่มียอดขาย 900 ล้านบาทเศษ 7-8% แจงสัดส่วนรายได้ ส่งออก 90% ในประเทศ 10%
น.ส.อรทัย มานะวงศ์สกุล กรรมการฝ่ายบริหาร บริษัท ลิกมันไลท์ติ้ง จำกัด ผู้ออกแบบ ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์โคมไฟ และระบบแสงสว่างคุณภาพสูง ภายใต้ แบรนด์ “ลิกมัน” (LIGMAN) กล่าวว่า ปัจจุบันตลาดรวมไลติ้งในประเทศไทยมีมูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท โดยแบ่งออกเป็นตลาดไฟ และโคมไฟ 50% ตลาดไลติ้ง เอาต์ดอร์ 20% และตลาดไลติ้ง อินดอร์ 30% ส่วนการแข่งขันของตลาดในประเทศแบ่งออกเป็นตลาดกลาง-ล่าง 70% ซึ่งมีแชร์รายใหญ่เป็นสินค้าจากจีน และผู้ผลิตรายย่อยในประเทศ ในขณะที่ตลาดกลาง-บน มีแชร์อยู่ 30% โดยมีลิกแมนฯ แชร์ตลาดสูงสุด รวมถึงตลาดส่งออกด้วย
“สำหรับตลาดในประเทศแบ่งออกเป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ ตลาดอินดอร์ ซึ่งมีแชร์อยู่ 20% ประกอบด้วยหลอดไฟ และโคมในอาคาร และตลาดเอาต์ดอร์ 80% ซึ่งประกอบด้วย โคม และไฟบนพื้นดิน ใต้ดิน และใต้น้ำ “
ทั้งนี้ ในปี 2555 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม 900 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากการส่งออก 90% และยอดขายในประเทศ 10% ส่วนในปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 7-8% หรือมียอดขายรวม 1,000 ล้านบาท โดยมีรายได้หลักในประเทศจากการขายสินค้าเข้าโครงการจัดสรร และอาคารสูง และคอนโดมิเนียม 70% และขายเข้าสู่กลุ่มผู้ใช้โดยตรง 30%
ล่าสุด บริษัทได้ใช้เงินลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท ในการลงทุนก่อสร้างโรงงานผลิตอุปกรณ์ไลติ้ง พร้อมด้วยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้ในพื้นที่โรงงานแห่งใหม่ ซึ่งมีพื้นที่รวม 85 ไร่ โดยจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส ซึ่งเฟสแรกประกอบด้วยโรงงานผลิต และศูนย์การเรียนรู้ LIGMAN Innovation Center ซึ่งจะเป็นศูนย์การฝึกอบรมณ์ และให้ความรู้แก่นักศึกษา นักออกแบบ และสถาปนิก เพื่อให้รับรู้และเข้าถึงเทรนด์ และแนวคิดรวมถึงการออกแบบและใช้ไลติ้งในการตกแต่งอาคารสูง และที่อยู่อาศัยได้อย่างลงตัว และเกิดประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ ยังเป็นการขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าของบริษัทในอนาคต และเป็นการปูทางตลาดรองรับการขยายตัวตลาดไลติ้งในประเทศ และตลาดอาเซียนหลังเปิดประชาคมเศรษบกิจอาเซี่ยน (AEC)
สำหรับโรงงานแห่งใหม่จะมีกำลังการผลิตประมาณ 140,000 ชุด ขณะที่โรงงานแห่งแรกมีกำลังการผลิตรวม 300,000 ชุดต่อปี ภายหลังจากการเปิดสายการผลิตโรงงานแห่งที่ 2 จะทำให้บริษัทสามารถส่งออกในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น โดยบริษัทตั้งเป้าว่าจะมีแชร์การส่งออกในตลาดอาเซียนจากรายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้น 2-3% และมีแชร์ยอดขายจากรายได้รวมในประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 15% จากเดิมที่มียอดขายรวมที่ 10% ภายใน 3 ปีจากนี้
น.ส.อรทัย กล่าวว่า กว่า 17 ปีที่ผ่านมาที่มีการก่อตั้งบริษัทฯ เมื่อปี พ.ศ.2538 ในเบื้องต้น บริษัทฯ ได้เห็นโอกาสในการทำตลาดในต่างประเทศ จึงมีการส่งออกผลิตภัณฑ์รวมถึงร่วมมือกับดีเวลลอปเปอร์ในการออกแบบ และติดตั้งระบบแสงสว่างของอาคาร และสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในต่างประเทศ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากตลาดดังกล่าว ครอบคลุมกว่า 60 ประเทศ ทั้งในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ แอฟริกา และยุโรป ซึ่งส่งผลให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยร้อยละ 7% ในแต่ละปี
“จากการตอบรับที่ดีดังกล่าว ทำให้เรามีการสร้างโรงงาน และโชว์รูมในต่างประเทศ ได้แก่ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นแบรนด์ไทยเจ้าแรก อีกทั้งในสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอินเดีย เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว นอกจากนี้ เรายังมีสาขาอยู่ทั่วโลก เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮ่องกง มาเลเซีย ซาอุดีอาระเบีย รวม 13 สาขา
ทั้งนี้ ในฐานะที่ลิกมันเป็นแบรนด์สัญชาติไทย เรามีความภูมิใจในการเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์คุณภาพให้แก่ตลาดโลก ในปีนี้ถึงเวลาแล้วที่จะประกาศความสำเร็จให้คนไทยร่วมภาคภูมิใจ พร้อมกับส่งผลิตภัณฑ์ และการบริการของเราขยายสู่ตลาดในเมืองไทยอย่างเต็มรูปแบบมากขึ้น ประกอบกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ในปี พ.ศ.2558 ซึ่งเชื่อว่าจะทำให้อัตราการขยายตัวของตลาดในภูมิภาคอาเซียนเพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศไทย ที่คาดว่าจะเป็นศูนย์กลางการลงทุนที่สำคัญ จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมในการสร้างการรับรู้แบรนด์ และรุกตลาดเมืองไทย และอาเซียนเพิ่มมากขึ้น”
น.ส.อรทัย กล่าวเพิ่มเติมว่า กลยุทธ์สำคัญของการรุกตลาดดังกล่าว จะเน้นที่การสร้างการรับรู้ผ่านกลุ่มผู้ประกอบการ ดีเวลลอปเปอร์ ดีไซเนอร์ สถาปนิก พร้อมๆ กับกลุ่ม End User ซึ่งเชื่อว่ามีความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น โดยจะมีกิจกรรมทางการตลาดไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอให้ข้อมูล และความรู้ทางด้านแสงสว่าง การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์และอัปเดตเทคโนโลยีทางด้านแสงสว่าง โดยชูจุดเด่นทั้งคุณภาพของผลิตภัณฑ์รวมถึงการกระจายแสง พร้อมทั้งฟังก์ชัน และการดีไซน์ที่สวยงามทันสมัยสอดคล้องกับเทรนด์การออกแบบของโลกปัจจุบัน
ด้านนายชาญ ศิริมณฑล ผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ บริษัท ลิกมันไลท์ติ้ง จำกัด ได้กล่าวถึงผลิตภัณฑ์ของลิกมันว่า ลิกมันมีโคมไฟภายนอกอาคารครอบคลุมทุกรูปแบบมากกว่า 14 ประเภท ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟส่องอาคาร สวนสาธารณะ และพื้นที่ใช้สอยนอกอาคาร อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่นๆ ในประเทศ เช่น โคมไฟที่ให้แสงการกระจายในหลายรูปแบบแตกต่างตามความต้องการของการใช้งานในสถานที่นั้นๆ รวมถึงโคมไฟ หรือหลอดไฟ LED ที่กำลังเป็นเทรนด์ของตลาดในขณะนี้
“ที่ผ่านมา เราเป็นผู้นำในการคิดค้นเทคโนโลยีด้านการส่องสว่างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และมีการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง โดยนำเทคโนโลยี LED (Light Emitting Diode) มาใช้ ซึ่งมีจุดเด่นในการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นทางเลือกสำหรับวิกฤตการณ์ด้านพลังงาน เนื่องจากสมรรถนะของหลอดที่สามารถมีอายุการใช้งานนานกว่าโคมไฟประเภทอื่นๆ ในตลาดปัจจุบันราว 3-5 เท่า โดยผลิตภัณฑ์ด้านการส่องสว่างของเราได้ผนวกเทคโนโลยี LED ที่เป็นส่วนประกอบศาสตร์แห่งศิลป์อันล้ำสมัยเพื่อทำให้เกิดการประหยัดพลังงานในการส่องสว่างมากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีแผนส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกสู่ตลาด ไม่ว่าจะเป็นโคมไฟประหยัดพลังงาน และไม่ต้องมีการซ่อมบำรุง หรือเปลี่ยนหลอดไฟภายในระยะเวลา 5 ปีซึ่งถือเป็นนวัตกรรมล่าสุด ที่คาดว่าจะสร้างปรากฏการณ์ให้แก่ตลาดได้อย่างแน่นอน”
นายชาญ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว ทางบริษัทฯ ยังเน้นที่การให้บริการอย่างครบวงจร หรือ One Stop Service ตั้งแต่การออกแบบ การผลิต ไปจนถึงการติดตั้งจนเสร็จเรียบร้อยโดยผู้เชี่ยวชาญ โดยในขณะนี้มีกลุ่มลูกค้าในธุรกิจ เช่น โรงแรม อาคารสำนักงานมากกว่า 100 ราย ที่เตรียมใช้บริการของบริษัทฯ ภายในปี 2556 นี้
ที่มา : http://www.manager.co.th/asp-bin/mgrview.aspx?NewsID=9560000065122