พระมหากรุณาธิคุณแผ่ไพศาล..จากฝั่งไทย..ข้ามฝั่งโขง
อาจมีหลายคนยังไม่เคยได้รับทราบว่า นอกเหนือจากพรมแดนประเทศไทยที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจแล้ว ยังมีพรมแดนประเทศเพื่อนบ้านซึ่งมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับประเทศไทยมาอย่างลึกซึ้งและยาวนานที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากการเสด็จพระราชดำเนินไปอีกด้วย
โครงการจัดตั้งแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสาน ณ มหาวิทยาลัยจำปาสัก เป็นโครงการหนึ่งในอีกหลายๆ โครงการ ที่เกิดขึ้นจากการที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารีในประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมชมโครงการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่ดำเนินการร่วมกับมหาวิทยาลัยจำปาสัก เมืองปากเซ แขวงจำปาสัก
ในครั้งนั้นผู้บริหารมหาวิทยาลัยจำปาสักได้กราบบังคมทูล เรื่องการบริหารงานและการดำเนินการต่างๆ ภายในมหาวิทยาลัย รวมทั้งปัญหาการขาดแคลนอาคารสถานที่ และอุปกรณ์ด้านการศึกษาต่างๆ
รวมทั้งขาดแคลน Know – How ที่มีความจำเป็นต่อการศึกษาเรียนรู้ของนักศึกษา เมื่อทรงทราบฝ่าละอองพระบาท สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้มูลนิธิชัยพัฒนาประสานไปยังหน่วยงานราชการต่างๆ เพื่อพระราชทานความช่วยเหลือ
เพราะแม้ว่าการขาดแคลนสิ่งต่างๆ ดังกล่าวจะไม่ได้เกิดขึ้นในอาณาเขตบริเวณประเทศไทย แต่หากการขาดแคลนที่เกิดขึ้นเป็นอุปสรรคต่อการศึกษา
นั่นย่อมจะหมายถึงเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) ซึ่งเป็นประเทศที่มีพรมแดนติดกับประเทศไทย และมีความสำคัญต่ออธิปไตยในเขตอาเซียนด้วย
โครงการความร่วมมือทางวิชาการระหว่างมูลนิธิชัยพัฒนา กับมหาวิทยาลัยจำปาสัก สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวซึ่งมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนา Know – How ด้านการพัฒนาการเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นการพัฒนาในองค์รวมจึงถือกำเนิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณและพระวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล
โดยเมื่อเดือนมีนาคม 2549 เจ้าหน้าที่มูลนิธิชัยพัฒนาพร้อมผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านการพัฒนาที่ดิน พัฒนาด้านพืช พัฒนาระบบน้ำ พัฒนาด้านการประมงและปศุสัตว์ ได้เดินทางเข้าไปร่วมประชุมกับมหาวิทยาลัยจำปาสัก และสำรวจพื้นที่ เพื่อนำข้อมูลมาศึกษาพร้อมกับวางแผนการดำเนินงานจัดทำ “โครงการจัดตั้งแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสาน” ขึ้น ณ มหาวิทยาลัยจำปาสัก
โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นแปลงสาธิตให้นักศึกษามหาวิทยาลัยจำปาสักได้ใช้ในการศึกษาพัฒนาด้านต่างๆและเป็นแบบอย่างให้ประชาชนผู้สนใจเข้าเยี่ยมชม และนำความรู้ไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และการดำเนินชีวิต
เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ที่ห่างไกลและเป็นพื้นที่ป่า รวมทั้งยังไม่มีน้ำและไฟฟ้า แผนการดำเนินงานจึงเริ่มขึ้น ด้วยการจัดทำระบบสาธารณูปโภคพื้นบ้าน
อาทิ การก่อฝานเก็บกักน้ำพร้อมระบบส่งน้ำ จัดทำระบบท่อ และขุดสระเก็บน้ำ เพื่อนำน้ำมาใช้ในการทำเกษตรกรรม
จากนั้นเป็นการปรับปรุงสภาพดิน โดยใช้ปุ๋ยพืชสด พร้อมจัดทำโครงการสาธิตการทำปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกขึ้นในพื้นที่โครงการ
ส่วนด้านการปลูกพืช เน้นพันธุ์พืชท้องถิ่นและพันธุ์พืชที่ให้ผลผลิตเร็ว ไม่ยากต่อการดูแลรักษา เน้นการปลูกข้าวพันธุ์ดี ปลูกพืชไร่ ปลูกไม้ผลดั่งเดิมของพื้นที่และเน้นการปลูกถั่วเขียวและข้าวโพดพันธุ์ที่เหมาะสมโดยพิจารณาจากสภาพดิน
ในส่วนงานด้านปศุสัตว์และประมงนั้น เป็นการจัดสร้างคอกสุกร คอกไก่และคอกเป็ด พร้อมกับทดลองปลูกหญ้าเลี้ยงสัตว์ สร้างบ่อเพาะพันธุ์ปลาและบ่อเลี้ยงปลา โดยเน้นการจัดหาพันธุ์ปลาที่เลี้ยงดูไม่ยากและขยายพันธุ์รวดเร็ว เพื่อใช้ในการสาธิตการเลี้ยงและเพาะพันธุ์เพื่อปล่อยลงสู่แม่น้ำ
พร้อมทั้งติดตั้งระบบไฟฟ้า เพื่อรองรับการใช้อุปกรณ์และเครื่องมือต่างๆ ในพื้นที่
เมื่อแผนโครงการได้รับความเห็นชอบจากทั้งฝ่ายคณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยจำปาสักและฝ่ายผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทย ว่ามีความเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษาและประชาชนผู้สนใจ
จึงเกิด “บันทึกข้อตกลงโครงการจัดตั้งแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสาน” เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2550 โดย ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชันพัฒนา เป็นผู้ลงนามฝ่ายไทย และ ดร. สีคำตาน มีตะไล อธิการบดีมหาวิทยาลัยจำปาสัก เป็นผู้ลงนามฝ่ายลาว ทั้งนี้มีเจ้าหน้าที่จากสถานกงสุลไทย ณ สะหวันนะเขต และสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ เวียงจันทน์ รวมทั้งผู้เชี่ยวชาญของมูลนิธิชัยพัฒนาเจ้าหน้าที่จากหน่วยราชการต่างๆ เข้าร่วมในพิธีการและร่วมในการประสานงานต่างๆ เพื่อให้โครงการดำเนินไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ตลอดระยะเวลา 7 ปี ในการดำเนินโครงการจัดตั้งแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสาน ณ มหาวิทยาลัยจำปาสัก คณะทำงานได้รับความร่วมมือจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเป็นอย่างดี ทำให้การดำเนินงานของคณะทำงานเป็นไปได้โดยราบรื่น
แม้ว่าเป็นการทำงานในพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลและมีข้อจำกัดที่แตกต่างจากประเทศไทยมากมาย ทำให้คณะทำงานยิ่งสำนึกในพระบารมีที่แผ่ไพศาลไปในพื้นที่ต่างๆ ด้วยพระเมตตาและพระวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล และเมื่อยิ่งได้เห็นประชาชนชาวลาวที่มารอรับเสด็จ ในวันที่เปิดโครงการฯ
ยิ่งทำให้เห็นว่าสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นที่รักมิใช่แค่คนไทยเท่านั้น ประชาชนชาวลาวก็รักและเทิดทูนพระองค์ไม่แพ้กัน
การเสด็จฯยังประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในทุกครั้ง ล้วนมีความหมายไม่น้อยไปกว่าการเสด็จฯ ยังพื้นที่ที่ต้องการความช่วยเหลือในผืนแผ่นดินไทยเลย
จากวันที่เริ่มโครงการมาจนถึงวันนี้ โครงการได้บรรลุวัตถุประสงค์ โดยแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสาน ณ มหาวิทยาลัยจำปาสักได้ถูกกำหนดให้เป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญของนักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยจำปาสัก รวมทั้งประชาชนทั่วไปและผู้สนใจเข้าเยี่ยมชม
มหาวิทยาลัยจำปาสักยังสามารถเรียนรู้เทคโนโลยีและถ่ายทอดไปยังนักศึกษาและประชาชนทั่วไปได้ รวมทั้งสามารถดูแลบริหารจัดการแปลงสาธิตและนำผลผลิตไปสร้างรายได้ เพื่อนำกลับมาดูแลและขยายงานในแปลงดังกล่าวได้ด้วยตนเองแล้ว
และหน้าที่ของคณะทำงานของมูลนิธิชัยพัฒนาในฐานะที่ปรึกษายังคงมีอยู่ และยังคงต้องเดินหน้าดำเนินงานโครงการอื่นๆ เพื่อให้ได้ชัยชนะในการพัฒนาตามแนวพระราชดำริต่อไป
สิ่งต่างๆ ในโลกล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพแวดล้อมและกาลเวลา การเรียนรู้ที่จะพึ่งพาตนเองให้ได้อย่างยั่งยืนในสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ ย่อมสร้างความมั่นคงทั้งทางกายและทางใจของผู้ที่สามารถปฏิบัติเช่นนั้นได้
และเมื่อถึงวาระหนึ่งย่อมสามารถถ่ายทอดความรู้และทักษะนั้น ไปยังผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นสามารถพึ่งพาตนเองได้เช่นกัน.
………………………
ที่มา : บางส่วนจากวารสารมูลนิธิชัยพัฒนา
- องค์กรสิทธิฯประสานเสียงร้องให้ปล่อยตัว14นักศึกษา หลังถูกขังเรือนจำ กลุ่มปชต.ใหม่แถลงสู้ต่อ
- “สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ” ทรงเป็นประธาน ในพิธีไหว้ครูและพระราชทานเหรียญรางวัลการศึกษาแก่นักเรียนนายร้อยประจำปีการศึกษา
- “รมว.พลังงาน” จ่อขยับภาษีแอลพีจีภาคขนส่ง
- สหรัฐพร้อมช่วยชาติในอาเซียนรับภาระผู้อพยพ
- “ททท.”ชี้คนจีนแห่เที่ยวไทย-คาดปีนี้ไม่ต่ำกว่า 6ล้านคน