|
"ประพัฒน์ โพธิวรคุณ" (ขวา) ประธานกรรมการ บริษัท กันยงอีเลคทริก จำกัด (มหาชน) และ "ซาดาฮิโร โทมิตะ" (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันยงอีเลคทริก จำกัด (มหาชน) |
|
|
กันยงฯ เร่งขยาดตลาดส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า ชี้มาจาก 2 ปัญหาหลักคือ ค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนตัวลง-ปัญหาความวุ่นายการเมืองไทย ชี้อาเซียนเป็นตลาดใหญ่ขยายเพิ่มขึ้น พร้อมทุ่มงบลงทุน 600-900 ล้านบาทใน 3 ปีนี้เพื่อขยายกำลังผลิต
นายประพัฒน์ โพธิวรคุณ ประธานกรรมการ บริษัท กันยงอีเลคทริก จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจจากนี้ไปบริษัทฯจะหันมาเน้นการทำตลาดส่งออกไปจำหน่ายตาางประเทศมากขึ้นกว่าเดิม ทั้งๆที่ตลาดต่างประเทศเดิมก็มีสัดส่วนสูงถึง 70% อยู่แล้ว เนื่องจากเหตุผลหลัก 2 ข้อคือ ประการคือปัญหา 2 ประการคือ 1.ค่าเงินบาทที่เริ่มอ่อนตัวลงต่อเนื่อง และ 2.ปัญหาความขัดแย้งและการชุมนุมทางการเมืองในไทยที่วุ่นวายไม่จบ
"ตอนนี้ค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงทำให้การส่งออกเป็นเรื่องที่ดี และเราต้องขยายตลาดให้มากขึ้น ทางหนึ่งก็เพื่อนำรายได้มาชดเชยในส่วนต้นทุนที่สูงขึ้นจากการนำเข้วัตถุดิบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จากต่างประเทศ เพื่อนำมาผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนแล้วประมาณ 10% เพราะค่าเงินบาทที่่อ่อนตัวลงเช่นกัน ส่วนปัญหาการเมืองนั้น ล่าสุดในวันที่ 13 มกราคมที่จะมีการชัตดาวน์กรุงเทพฯ ยังไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร รัฐบาลต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้มากขึ้น”
ทั้งนี้ หากค่าเงินบาทยังคงมีแนวโน้มอ่อนอยู่ในระดับนี้ บริษัทฯมั่นใจว่า ภายในปีงบประมาณ 2559 ของบริษัทฯคงจะมีรายได้รวมประมาณ 20,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2555 ที่มีรายได้รวมประมาณ 9,555 ล้านบาท
นายซาดาฮิโร โทมิตะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท กันยงอีเลคทริก จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะลงทุนเฉลี่ยปีละประมาณ 200-300 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีจากนี้รวมเป็นงบกว่า 600-900 ล้านบาท เพื่อใช้ในการเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าต่างๆทั้ง 5 กลุ่มที่ทำการผลิตอยู่ โดยวางแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตต่อเนื่องให้ได้มากถึง 2 เท่า เพื่อรองรับการขยายตลาดทั้งการส่งออกในอนาคต ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯมีกำลังการผลิตตู้เย็นและพัดลม อยู่ที่ประมาณ 1 ล้านเครื่องต่อปี ขณะที่เครื่องปั๊มน้ำ และพัดลมระบายอากาศมีกำลังผลิตอยู่ที่ 5 แสนเครื่องต่อปี ส่วนเครื่องเป่ามือมีกำลังผลิตอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นเครื่องต่อปี
การเพิ่มกำลังผลิตก็เพื่อตอบรับแผนการรุกต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งตลาดหลักต่างประเทศที่บริษัทฯจะขยายมากขึ้นและให้ความสำคัญมากขึ้นคือ ตลาดอาเซียน โดยเฉพาะหลังจากการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในปี 2558 แล้ว อาเซียนจะเป็นตลาดที่ใหญ่และมีความน่าสนใจกว่าาเดิม
โดยประเทศหลักที่จะเป็นตลาดสำคัญมี 3 ประเทศคือ อินโดนีเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นตลาดที่มีกำลังซื่้อในเกณฑ์ที่ดีและมีจำนวนประชากรมากด้วย ซึ่งที่ผ่านมานั้นก็ได้ทำการส่งออกสินค้ามบ้างแล้ว โดยในประเทศเวียดนามบริษัทได้ส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดแล้วเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ขณะที่อินโดนีเซีย ได้รับการตอบรับที่ดีและเพิ่งเริ่มเข้าไปทำตลาดเมื่อเดือน พ.ย. 2556 ก็มีแนวโน้มที่ดีเช่นกัน
นายซาดาฮิโร กล่าวว่า สำหรับรายได้ของบริษัทฯ 30% มาจากในไทย ขณะที่อีก 70% มาจากต่างประเทศจากการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคิดเป็น 44% ของทั้งหมดการส่งออก และประเทศอื่นๆ เช่น กลุ่มประเทศในอาเซียน และยุโรป 19% ทั้งนี้ในตลาดส่งออกอื่นๆนั้น มาจากอาเซียนมากที่สุดถึง 90% ซึ่งหลังจากหันมาขยายตลาดส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอื่นๆ มากขึ้น มั่นใจว่าสิ้นปี 2557 จะมีสัดส่วนรายได้จาก 19% เป็น 24%
เครดิตและบทความเรื่องอื่นๆของ manager.co.th
ดูทั้งหมด