ศรีตรังขยายลงทุนยางอินโดฯ
"ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี" เดินหน้าเต็มสูบขยายกำลังการผลิตโรงงานในอินโดนีเซีย เล็งสร้างฐานผลิตถุงมือยางส่งออกทั่วโลก
"ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี" เดินหน้าเต็มสูบขยายกำลังการผลิตโรงงานในอินโดนีเซีย เล็งสร้างฐานผลิตถุงมือยางส่งออกทั่วโลก"ศรีตรัง" เดินหน้าขยายการลงทุนโรงงานยางในอินโดนีเซียต่อเนื่อง คาดยอดขายปีนี้ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 50% ตั้งเป้าปีหน้าโตอีก 30% เตรียมสร้างโรงงานใหม่ที่จังหวัดจัมบี้และขยายกำลังการผลิตเพิ่มในปาลัมบังอีก 6 หมื่นตันต่อปี ดันยอดผลิตในอินโดฯเพิ่มเป็น 3.2 แสนตัน เล็งสร้างฐานผลิตถุงมือยางส่งขายทั่วโลกในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
นายสมพร พรรณราย ผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อบริษัท ศรีตรัง ลิงก้า อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้เข้ามาลงทุนในประเทศอินโดนีเซียตั้งแต่ปี 2548 และเริ่มผลิตได้ในปี 2549 บริษัทสามารถขยายธุรกิจได้ต่อเนื่อง โดยเติบโตเฉลี่ยปีละ 30% ทั้งในแง่กำลังการผลิตและรายได้ ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานอยู่ 2 แห่งในประเทศอินโดนีเซียคือ โรงงานยางแท่งที่จังหวัดปาลัมบังและจังหวัดพอนเตียนัก ในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายคิดเป็นเม็ดเงินอยู่ที่ประมาณ 350 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเพิ่มขึ้นจากปีก่อนประมาณ 50% และสามารถสร้างรายได้ให้กับศรีตรังคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของรายได้รวม
ทั้งนี้บริษัทได้ขยายกำลังการผลิตของโรงงานในประเทศอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้มีกำลังการผลิตประมาณ 1.4-1.5 แสนตัน คิดเป็นสัดส่วน 14-15% ของกำลังการผลิตยางโดยรวมของศรีตรังที่สามารถผลิตได้ประมาณ 1 ล้านตันต่อปี โดยเป็นกำลังการผลิตจาก 2 โรงงานหลัก คือโรงงานที่จังหวัดปาลัมบังสามารถผลิตได้ 1.4 แสนตัน ขณะที่จังหวัดพอนเตียนัก ผลิตได้ประมาณ 6 หมื่นตันต่อปี
@ ตั้งโรงงานขยายกำลังผลิตเพิ่ม 40%
นายสมพรกล่าวว่า ในปี 2557 บริษัทยังขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนที่จะขยายโรงงานเพิ่มอีก 1 แห่งในจังหวัดจัมบี้ ในปีหน้าจะสร้างเสร็จและสามารถเดินหน้าการผลิตได้ด้วยกำลังการผลิตกว่า 6 หมื่นตันต่อปี ขณะเดียวกันยังมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตของโรงงานในปาลัมบังอีก 5 พันตันต่อเดือน หรือคิดเป็น 6 หมื่นตันต่อปีเช่นกัน ทำให้โรงงานในปาลัมบังจะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2 แสนตันต่อปี และโดยรวมแล้วกำลังการผลิตของศรีตรังในประเทศอินโดนีเซียจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.2 แสนตันต่อปี
"ที่ผ่านมาบริษัทได้เพิ่มพื้นที่สวนยางอย่างต่อเนื่องในอินโดนีเซีย ทำให้มีวัตถุดิบเพียงพอรองรับการเติบโต โดยแนวโน้มปี 2557 เชื่อว่าจะยังเติบโตได้ในระดับสูงต่อเนื่องจากปีนี้ ที่สามารถขยายกำลังการผลิตได้กว่า 60% เมื่อเทียบกับปี 2555 ส่วนทิศทางในปี 2557 ในเบื้องต้นคาดว่าจะขยายกำลังการผลิตได้อีก 30-40% น้อยกว่าปีนี้ เนื่องจากต้องรอโรงงานที่สร้างอยู่แล้วเสร็จ แต่ในแง่ของการสร้างรายได้นั้นเชื่อว่าจะเติบโตได้ในทิศทางเดียวกันหรือเติบโต 40-50%"
ปัจจุบันบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศอินโดนีเซียประมาณ 4-5% คิดเป็นอันดับ 3 ของตลาด แต่ในปี 2557 หากกำลังการผลิตของบริษัทเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 แสนตันต่อปีจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในประเทศอินโดนีเซียเป็น 10% แต่หากพิจารณาในแง่กำลังการผลิตของโรงงานของศรีตรังถือว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในอินโดนีเซีย
ทั้งนี้ศรีตรังได้เข้าไปลงทุนขยายธุรกิจในอินโดนีเซียด้วยการถือหุ้นในบริษัท PT Sri Trang Lingga สัดส่วน 90% เพื่อเป็นแหล่งจัดหาและผลิตยางธรรมชาติแห่งแรกของบริษัทที่อยู่นอกประเทศไทยและในปี 2552 ได้เข้าไปลงทุนใน PT Star Rubber ซึ่งเป็นโรงงานผลิตยางแท่งแห่งที่สองของบริษัทฯ ในอินโดนีเซียถือหุ้นในสัดส่วน 99%
@ เมินแตกไลน์ผลิตล้อยางเน้นส่งวัตถุดิบ
แม้อุตสาหกรรมยานยนต์ในอินโดนีเซียจะเป็นตลาดขนาดใหญ่ก็ตาม แต่นายสมพรกล่าวว่า บริษัทยังไม่มีแผนที่จะเข้าไปทำธุรกิจยางล้อเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในประเทศ โดยยังทำธุรกิจในการรับซื้อวัตถุดิบมาผ่านกระบวนการ ส่งให้ต่อให้ผู้ผลิตยางล้อเท่านั้น เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวบริษัทมองว่าต้องอาศัยความชำนาญพิเศษ ดังนั้นบริษัทยังคงมุ่งเน้นธุรกิจหลักที่ตัวเองเชี่ยวชาญต่อไป ซึ่งผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ของบริษัทจะผลิตเพื่อส่งออกทั้ง 100% โดยส่งออกไปยังประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี สหรัฐอเมริกาและยุโรป
"เราไม่มองเรื่องการทำยางล้อเอง เพราะต้องใช้ความชำนาญพิเศษ ที่ผ่านมาศรีตรังเป็นผู้ผลิตถุงมือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย แต่ในอินโดนีเซียเราก็ยังทำแค่การผลิตยางธรรมชาติ แค่รับซื้อวัตถุดิบมาผลิตเป็นวัตถุดิบสำหรับบริษัทยางล้อ ซึ่งการที่บริษัทเข้ามาลงทุนในประเทศอินโดนีเซียซึ่งถือว่าเป็นประเทศผู้ผลิตยางพาราอันดับ 2 รองจากประเทศไทยช่วยให้บริษัทสามารถเห็นภาพรวมของตลาดยางพาราได้ดีมากขึ้นและรู้ทิศทางตลาด แม้ว่าในแง่มาร์จิ้นเมื่อเทียบกับประเทศไทย แล้วจะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ธุรกิจยางเป็นเรื่องของฤดูกาลหรือช่วง ๆ เวลาที่บางครั้งประเทศไทยจะได้ผลผลิตที่ดีกว่า การมาลงทุนในอินโดทำให้เรากระจายการผลิตได้ดีขึ้น"
@ เล็งลงทุนโรงงานถุงมือยางเพิ่ม
นอกจากนี้ในอนาคตอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทมีแผนที่จะลงทุนโรงงานผลิตถุงมือยางที่ใช้ในทางการแพทย์เพิ่มในประเทศอินโดนีเซียด้วย โดยได้ซื้อพื้นที่รองรับไว้แล้วในจังหวัดปาลัมบัง เพื่อมาใช้ทรัพยากรในอินโดนีเซียโดยเฉพาะแรงงานที่มีอยู่มาก
นายสมพรยังเล่าถึงประสบการณ์ที่เข้ามาลงทุนในอินโดนีเซียในช่วง 8 ปีที่ผ่านมาว่าในช่วงแรกยังมีอุปสรรคในเรื่องของความแตกต่างทางด้านภาษาและวัฒนธรรมที่ต่างก็ต้องปรับตัว แต่ก็สามารถผ่านมาได้ โดยมีคนไทยมาเป็นระดับบริหาร ซึ่งนักลงทุนที่สนใจเข้ามาลงทุนในอินโดนีเซียก็สามารถทำได้ เพราะมีทรัพยากรที่ดี และมีแรงงานที่ไม่ขาดแคลน และพลังงานที่มีเสถียรภาพถือเป็นจุดเด่นของประเทศ แต่ข้อเสียของประเทศอินโดนีเซียยังคงเป็นเรื่องของการขนส่งที่ยังไม่ค่อยสะดวกมากนัก