ปตท.ขยายเครือข่ายลงทุนอาเซียนเปิดปั้มน้ำมันในเมียนมาร์
ปตท.สยายปีกลงทุนอาเซียนนำร่องให้บริการ 2 ปั๊มแรกในย่างกุ้งปี57 คาดยอดขายต่อปั๊ม 5 แสนลิตรต่อเดือน ขณะที่โปรเจคโรงกลั่นและปิโตรฯครบวงจรรัฐบาลเวียดนามไฟเขียว เร่งศึกษาแผนลงทุนให้จบภายใน 1 ปีเตรียมดึงพันธมิตรร่วมหุ้น
นายไพรินทร์ ชูโชติถาวร กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.เปิดเผยว่ากลุ่มปตท.มองลู่ทางการลงทุนในอาเซียนเพื่อขยายกิจการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปลายปี 2558 สำหรับการร่วมทุนสร้างโรงกลั่นและปิโตรเคมีครบวงจร ในจังหวัดบินห์ดินห์ของเวียดนามนั้นล่าสุดรัฐบาลเวียดนามได้เห็นชอบแล้ว โดยกลุ่ม ปตท.จะมีการศึกษาแผนลงทุนและการร่วมทุนทั้งหมดภายใน 1 ปี และเสนอแผนที่ชัดเจนต่อรัฐบาลเวียดนามอีกครั้ง โครงการนี้ นับเป็นการร่วมลงทุนของชาติอาเซียน และเชื่อมโยงส่งออกไปในภูมิภาคนี้ โดยในส่วนของโรงกลั่นนั้นจะส่งออกน้ำมันไปยังนิคมอุตสาหกรรมทวายของเมียนมาร์ และเมืองเชนไนของอินเดีย
นายไพรินทร์ กล่าวว่า “กรณีที่มีผู้มองว่าโครงการดังกล่าวอาจเกิดได้ยากเพราะลงทุนสูงนั้นปตท.มองว่าหากโครงการมีความเป็นไปได้ จะมีพันธมิตรเข้ามาร่วมทุนอีก เพราะโครงการนี้ที่ถือว่าเป็นอีสเทิร์น ซีบอร์ดของอาเซียน ซึ่งจะผลิตเพื่อการส่งออกรองรับAECซึ่งมีเส้นทางจะเชื่อมไปถึงทวายและเชนไนได้”
นายสรัญ รังคศิริ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ หน่วยธุรกิจน้ำมัน ปตท.กล่าวถึงการขยายปั๊มในอาเซียนนั้นปตท.จะดำเนินการทั้งลาว กัมพูชา และเมียนมาร์ ทุกแห่งจะเป็นลักษณะสถานีบริการครบวงจรที่มีทั้งจำหน่ายน้ำมัน บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันและกาแฟอเมซอน โดยในเมียนมาร์จะเปิดให้บริการ 2 ปั๊มแรกในย่างกุ้ง ปี 2557 คาดจะมียอดขายต่อปั๊ม 5 แสนลิตรต่อเดือน
ซึ่งในขณะนี้ยอดใช้น้ำมันในเมียนมาร์เติบโตสูงมากหลังเปิดประเทศ แต่ยังถือว่าน้อยเมื่อเทียบกับไทย โดยมียอดใช้ 7 หมื่นบาร์เรลต่อวัน นอกจากนี้ปตท.ยังขยายการลงทุนด้านน้ำมันหล่อลื่น และเสนอต่อรัฐบาลเมียนมาร์ว่าพร้อมช่วยปรับปรุงโรงกลั่นฯ ของเมียนมาร์ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ปัจจุบันโรงกลั่นฯ ของเมียนมาร์มีกำลังกลั่น 2-3 หมื่นบาร์เรลต่อวัน
ล่าสุด ปตท.ได้เปิดตัว “FitStatin Mobile Service” เป็นบริการถ่ายเปลี่ยนน้ำมันหล่อลื่นนอกสถานที่ ด้วยรถเคลื่อนที่เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง เปลี่ยนอะไหล่เบา และตรวจเช็กสภาพรถยนต์ 12 รายการ ซึ่งนับเป็นนวัตกรรมใหม่ โดยรถออกแบบพิเศษให้เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องรวดเร็ว และสามารถจ่ายไฟฟ้าซึ่งมาจาก 3 ระบบ คือพลังงานแสงอาทิตย์ แบตเตอรี่รถยนต์ และไฟฟ้ากระแสสลับจากอาคาร ทำให้เลือกใช้พลังงานทดแทนให้เหมาะสมกับทุกพื้นที่พื้นที่
นอกจากนั้นยังมีการจัดการน้ำมันหล่อลื่นใช้แล้วอย่างเป็นระบบ เพื่อมิให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยของประชาชน นอกจากนี้ยังมีบริการตรวจสภาพและวิเคราะห์ปัญหาการทำงานของรถยนต์ด้วยเครื่อง OBD (On-Board Diagnostics) อีกด้วย
นายสรัญ กล่าวว่า “จะนำร่องจำนวน 5 คัน ให้บริการตามแหล่งอาคารสำนักงานหรือแหล่งที่มีการใช้รถจำนวนมาก เพื่อทดสอบความพร้อมในการรองรับการใช้บริการและประสิทธิภาพในการทำงาน หลังจากนี้จะสรุปผลโครงการและเพิ่มจำนวนรถเคลื่อนที่ให้ครอบคลุมการใช้บริการมากยิ่งขึ้น”