SCCหนีค่าแรง-ราคาก๊าซฯพุ่ง ขยายการลงทุนในอาเซียนเพิ่ม
ASTVผู้จัดการรายวัน – ปูนซิเมนต์ไทยเบนเข็มลงทุนอาเซียนมากขึ้น หลังต้นทุนค่าแรงและราคาก๊าซฯในไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมีผลทำให้ราคาสินค้าสูง เมื่อเทียบกับอินโดฯและเวียดนาม เล็งใช้ไทยเป็นฐานผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่มแทน วางงบลงทุน 5 ปีนี้ใช้เงิน 2.5 แสนล้านบาทเน้นลงทุนอาเซียนเป็นหลัก ยอมรับยอดขายปีนี้พลาดเป้าเล็กน้อยแต่มากกว่า 4.3 แสนล้านบาทแน่ ด้านผู้ถือหุ้นเฮ! จ่ายปันผลพิเศษฉลองครบรอบ 100 ปี หุ้นละ 3 บาท
นายกานต์ ตระกูลฮุน กรรมการผู้จัดใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) (SCC) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2556 ว่า บริษัทมีรายได้จากการขาย 113,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% และมีกำไรสุทธิ 9,793ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายธุรกิจเคมีภัณฑ์ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ความต้องการใช้ปูนที่เพิ่มขึ้น และมีกำไรจากรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ 1,701 ล้านบาทจากการปรับมูลค่าเงินลงทุนในบริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด และสยามซานิทารีฟิตติ้งส์ รวมทั้งการขายเงินลงทุนในบริษัท โตโต้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย ) ให้กับโตโต กรุ๊ป
ส่วนงวด 9 เดือนแรกปีนี้ บริษัทฯมีรายได้จากการขาย 329,839 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% และมีกำไร 28,513 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพื่อเฉลิมฉลองในวาระครบรอบเอสซีจี 100 ปี คณะกรรมกรรมการบริษัทฯมีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล ในอัตราหุ้นละ 3 บาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 28 พ.ย.นี้
นายกานต์ กล่าวต่อไปว่า ยอดขายบริษัทฯในปีนี้จะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เล็กน้อยจากเดิมที่ตั้งไว้ 4.37 แสนล้านบาท แต่มั่นใจว่าเกิน 4.30 แสนล้านบาทแน่นอน เนื่องจากผลกระทบจากน้ำท่วมที่จะส่งผลกระทบต่อผลดำเนินงานไตรมาส 4 นี้ แต่เชื่อว่าไตรมาส 1/2557 จะดีขึ้น ขณะเดียวกันยอดขายในภูมิภาคอาเซียนก็จะดีขึ้น แต่จากค่าเงินในภูมิภาคนี้ ทั้งค่าเงินรูเปียะของอินโดนีเซียและค่าเงินด่องของเวียดนามอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เมื่อแปลงค่าเงินอาเซียนมาเป็นบาททำให้ยอดขายลดลงไป แต่มาร์จินยังดีอยู่ทำให้ส่งผลกระทบต่อกำไรไม่มาก
โดยไตรมาส 4 นี้ส่วนต่างราคาพลาสติกกับวัตถุดิบ (สเปรด)ปรับตัวดีขึ้น โดยสเปรดเม็ดพลาสติก PE อยู่ที่ 615 เหรียญ/ตัน ดีกว่าสเปรดไตรมาส 3/2556 เฉลี่ยที่ 568 เหรียญ/ตัน และสเปรดเม็ดพลาสติก PP อยู่ที่ 621 เหรียญ/ตัน ดีกว่าไตรมาส3/2556 ที่เฉลี่ยอยู่ที่ 597 เหรียญสหรัฐ แต่เนื่องจากไตรมาสนี้โรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์จะปิดซ่อมบำรุง 12 พ.ย.-26 ธ.ค.นี้ ทำให้รายได้ธุรกิจเคมีภัณฑ์ลดลงบ้าง
นอกจากนี้ ความต้องการใช้ปูนได้ปรับตัวลดลง 3%ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา คาดว่าไตรมาสนี้อัตราการใช้ปูนในประเทศไทยไม่เติบโต สืบเนื่องจากผลกระทบน้ำท่วม ทำให้ปูนและวัสดุก่อสร้างชะลอตัว ดังนั้นทั้งปี 2556 เชื่อว่าความต้องการใช้ปูนในประเทศเติบโต 5.1-5.2%เมื่อเทียบจากปีก่อน ส่วนราคากระดาษพิมพ์เขียนพบว่าราคาอ่อนตัวลงมากจากการการทุ่มตลาดกระดาษนำเข้าจากจีนและอินโดนีเซีย ทำให้บริษัทฯต้องหันไปเพิ่มมูลค่าสินค้าเยื่อกระดาษเพื่อไปผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มแทนการนำไปผลิตกระดาษพิมพ์เขียน ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบ คือต้นยูคาลิปตัสสูงขึ้นเพราะเกษตรกรเลิกปลูก หันไปปลูกพืชที่รัฐให้การอุดหนุนราคาแทน ส่วนราคากระดาษคราฟท์ยังดีอยู่ ทำให้ภาพรวมธุรกิจกระดาษของเครือฯยังมีกำไรอยู่
ส่วนปีหน้า บริษัทฯคาดว่าความต้องการใช้ปูนก็ยังเติบโต4-5% เพราะมีการใช้ปูนในการซ่อมแซม ธุรกิจคอมเมอร์เชียล บิวดิ้ง ขณะที่โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ยังไม่มีการใช้ปูนมากนักในช่วงปีแรก ขณะเดียวกันก็จะลดการส่งออกปูนไปต่างประเทศเพื่อป้อนตลาดในไทยเป็นหลัก
SCCชี้ราคาก๊าซฯไทยแพง
นายกานต์ กล่าวยอมรับว่า ขณะนี้บริษัทฯมีความกังวลเกี่ยวกับต้นทุนพลังงานและค่าแรงที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะต้นทุนราคาก๊าซฯ ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าของไทยปรับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย ซึ่งจะมีผลต่อการขยายธุรกิจของเครือในไทย เมื่อเปรียบเทียบต้นทุนการผลิตในอาเซียน พบว่าต้นทุนการผลิตที่เวียดนามต่ำสุด
ดังนั้นการขยายธุรกิจในอนาคตจะเน้นลงทุนในอาเซียนเป็นสำคัญเพื่อหลีกหนีต้นทุนเชื้อเพลิงที่แพงขึ้น ขณะที่ธุรกิจในไทยนั้นจะเน้นการผลิตสินค้ามูลค่าเพิ่ม (HVA)แทน
แม้จะเกิดความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยอาเซียนที่มีแนวโน้มชะลอตัว แต่บริษัทฯยังเชื่อมั่นเศรษฐกิจของไทยและอาเซียนจะมีความเข้มแข็งและเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาวจึงมีการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจยุโรป สหรัฐฯฟื้นตัวดีขึ้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทย ดังนั้นคาดการณ์ว่าปีหน้าทุกธุรกิจของเครือฯยังดีต่อเนื่อง เว้นธุรกิจกระดาษพิมพ์เขียน
โดยบริษัทฯตั้งงบลงทุน 5 ปี (2557-2561) วางไว้ 2-2.1 แสนล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 2.5แสนล้านบาท ซึ่งเป็นการเดินหน้าโครงการลงทุนต่อเนื่องทั้งการสร้างโรงปูน 3แห่งในพม่า กัมพูชาและอินโดนีเซีย โครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ และการซื้อกิจการ (M&A)ในต่างประเทศ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา 4-5 รายในเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นธุรกิจเซรามิค กระดาษบรรจุภัณฑ์และวัสดุก่อสร้าง
ส่วนปัญหาการเมืองที่ส่อเค้ารุนแรงนั้น นายกานต์ กล่าวว่า นักธุรกิจมีความกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเมืองไทยที่จะเกิดขึ้น โดยอยากให้การเมืองไทยนิ่ง และคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด