ฝ่ายค้านแฉ สตช.รับทรัพย์งบลับทุบ “ม็อบเสธ.อ้าย” ลูกหาบนายกฯ แจงวุ่นปัดผลาญเที่ยวนอก
ไม่มีอะไรแปลก ... สภาฝักถั่ว 291 เสียงเห็นชอบงบกลางมาตรา 4 วงเงินกว่า 3 แสนล้าน ฝ่ายค้านกังขางบแบบเซเว่นอีเลฟเว่น ใช้จ่ายได้ 24 ชั่วโมง ปราบม็อบต้านรัฐบาล แฉให้งบลับเป็นโบนัสปีใหม่ 200 ล้าน ถามนายกฯ ดูงาน 45 ครั้ง 47 ประเทศ 370 ล้าน เกิดประโยชน์หรือไม่ “ปึ้ง” ออกโรงป้องไม่ได้ไปเที่ยว อวดดึงนักท่องเที่ยวมาไทย “วราเทพ” อ้างจำเป็นต้องแสดงตัวต่อเวทีอาเซียน อีกทั้งมีพันธกรณีมากกว่าคนอื่นๆ
วันนี้ (15 ส.ค.) ที่รัฐสภา การประชุมสภาผู้แทนราษฏร ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2557 วันที่ 2 มาตรา 4 งบกลาง วงเงิน 343,131,000,000 บาท หลังจากที่คณะกรรมาธิการได้ปรับลดวงเงินลง 2,328,000,000 บาท โดยสมาชิกฝ่ายค้านส่วนใหญ่ได้เสนอให้ตัดงบกลางที่มีการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ไม่เป็นประโยชน์ โดยเฉพาะกรณีการใช้จ่ายในการเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ถือว่าเป็นผู้นำประเทศที่เดินทางไปเยือนต่างประเทศมากที่สุด ขณะเดี่ยวกันกลับใช้งบกรณีฉุกเฉินเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเดือนร้อนของประชาชนอย่างด้อยประสิทธิภาพ
นายวัชระ เพชรทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่าขอปรับลดงบกลาง 0.1 เปอร์เซ็นต์ เพราะเป็นงบแบบเซเว่นอีเลฟเว่น ใช้จ่ายเงินได้ตลอด 24 ชั่วโมง มีความไม่ชอบมาพากล โดยมีนายกรัฐมนตรีมีสิทธิอนุมัติงบเพียงคนเดียวเท่านั้น ทั้งนี้ ตนตั้งข้อสังเกตในส่วนเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่ปี 2557 ได้รับงบประมาณจำนวน 72,500 ล้านบาท ส่วนในปี 2556 ได้รับงบประมาณ 73,700 ล้านบาท ซึ่งงบในส่วนนี้ควรเป็นงบช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ แต่ในอดีตได้นำเงินในส่วนนี้ จำนวน 2,000 ล้านบาท ไปจ่ายเยียวยาให้คนเสื้อแดงที่ถูกคุมขัง ซึ่งไม่เป็นธรรมกับผู้ที่ถูกคุมขังทั่วประเทศ เพียงเพราะเขาไม่ได้สนับสนุนรัฐบาลใช่หรือไม่
นายวัชระกล่าวอีกว่า รัฐบาลยังอนุมัติงบกลางให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ซึ่งในขณะนั้นเป็นรองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติจำนวน 200 ล้านบาท เพื่อใช้ปราบม็อบองค์การพิทักษ์สยาม และครั้งล่าสุดที่ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ในการพิจารณากฎหมายนิรโทษกรรม จริงหรือไม่ที่อาจใช้อาจงบฯ กว่า 400 ล้านบาท ทั้งที่เงินจำนวนนี้ควรเป็นเงินที่เอาไปช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อน
“เงิน 7 หมื่นกว่าล้านบาท สงสัยว่าทำไมกัน 4 หมื่น 6 พันล้านไว้ให้ใครหรือไม่ ผมแน่ใจว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษได้เงินจากงบกลางด้วยในการทำภาระกิจลับบางอย่างไม่ทราบเอาไปทำอะไร เป็นหน้าที่กรรมาธิการต้องซักถามเรื่องนี้ อีกทั้ง สตช.ที่มี พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. นำเงินไปปราบม็อบกว่า 600 ล้านบาท เป็นการสมควรหรือไม่ ทั้งยังนำเงินไปทำภารกิจลับ ก็ไม่รู้เอาไปทำอะไร ขอเสนอว่าควรนำงบกลางไปช่วยเหลือเยียวยาพี่น้องครู และข้าราชทุกหมู่เหล่าที่ปฏิบัติหน้าที่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะนี้พี่น้องประชาชนประสบภัยน้ำท่วมอยู่ในหลายจังหวัด ก็ควรนำงบกลางก้อนนี้ไปใช้จ่าย อย่ากอดเงินไว้ที่ทำเนียบรัฐบาล” นายวัชระกล่าว
นายวัชระกล่าวอีกว่า การพิจารณาในชั้นกรรมาธิการมีหน่วยราชการที่ปกปิดข้อมูลเป็นจำนวนมาก เช่น สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ที่ไม่ส่งเอกสารค่าใช้จ่ายการเดินทางไปราชการต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี ซึ่งเดินทางไปกว่า 40 ประเทศ ใช้เงินไปกี่พันล้านบาทแล้ว ก็ไม่ส่งข้อมูลให้กรรมาธิการบอกว่าจะส่งก็ไม่ส่งให้ ตนจึงทวงเอกสารกลางที่ประชุมนี้
นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายมาตรา 4 งบกลาง ว่าตนได้รับเอกสารขอสนับสนุนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 จากการประชุม ครม. ของสำนักนายกฯ เมื่อวันที่ 2 ม.ค. 56 ซึ่งเป็นเอกสารของวาระจร และเมื่อมีการอนุมัติแล้ว ก็มีการเรียกเอกสารดังกล่าวกลับคืนไป ซึ่งมีการเรียกว่าเงินฉลองปีใหม่ โดยเอกสารดังกล่าวมีหน่วยงานที่ได้รับการอนุมัติ คือ สตช. 335 ล้านบาท กองทัพบก 6 แสนบาท กองทัพอากาศ 4.8 หมื่นบาท กองทัพเรือ 4.8 หมื่นบาท กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน 3.5 ล้านบาท รวมทั้งสิ้น 339 ล้านบาท
โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช่จ่ายเบี้ยเลี้ยงค่าตอบแทนแก่กำลังพลในช่วงที่มีการชุมนุมของกลุ่ม อพส.ในตลอดสัปดาห์ และการชุมนุมวันที่ 24 พ.ย. 55 โดยส่วนใหญ่เป็นค่าเตรียมความพร้อมการชุมนุม ค่าเบี้ยเลี้ยง ค่าที่พัก ค่าพาหนะ วัสดุส่งกำลังบำรุง และค่ากล้องซีซีทีวี รวมทั้งจำนวน 139 ล้านบาท ซึ่งตนไม่ติดใจ แต่ที่ตนติดใจมากที่สุดคือเงินจำนวนอีก 200 ล้านบาท ที่ สตช.ตั้งชดเชยการชุมนุมซึ่งเป็นงบลับ ไม่ทราบว่าไปหาข่าวอะไรหนักหนา ถึงใช้เงินมากขนาดนี้ กับการชุมนุมแค่วันเดียว และเป็นรายจ่ายที่ไม่มีบัญชี เคยสอบถามไปก็ได้รับคำตอบว่าคุณไม่เข้าใจหรือเป็นงบลับ ดังนั้นตนอยากถามกรรมาธิการสนับสนุนงบอย่างนี้ไปได้อย่างไร
นายเจะอามิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า อยากถามว่าใช้งบกลางไปเท่าไรในการไปพูดคุยกับกลุ่มบีอาร์เอ็น เพราะผลที่ได้ถือว่าล้มเหลว ยังเกิดเหตุความรุนแรงในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเชิญนายโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ มาร่วมเวทีปฏิรูปการเมือง จะใช้งบกลางหรือไม่ จำนวนเท่าไร ถ้าเป็นตามเท่าที่เป็นข่าวว่าใช้ถึง 20 ล้านบาทถือว่าเป็นการจ้างที่โคตรแพง ขอให้นายกฯ มาชี้แจงด้วย
ขณะที่นายบุญยอด สุขถิ่นไทย ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เรียกร้องให้มีการชี้แจงกรณีการใช้งบของประมาณในการทำเรื่องสภาปฏิรูปว่าใช้งบปี 56 หรือ 57 จำนวนเท่าใด รวมทั้งอยากทราบกรอบการทำงานและจะมีผลทางกฎหมายต่อไปหรือไม่ รวมทั้งทำไมต้องจ้างนายโทนี แบลร์ อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษถึง 20 ล้านบาท ตนสงสัยว่ามีลิ้นทองหรืออย่างไร ถึงได้จ้างแพงขนาดนั้น ดังนั้นตนจึงขอตัดงบกลางจำนวน 100 เปอร์เซ็นต์
นายกษิต ภิรมย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ เสนอให้ตัดงบกลางออก 3 เปอร์เซ็นต์ เพราะมีความไม่ชัดเจนในการใช้จ่าย และไม่จำเป็น เช่น งบที่ใช้ในกรณีฉุกเฉินจากปัญหาภัยพิบัติ หรืออุทกภัยต่างๆ ที่มีการจัดสรรไว้ในงบการจัดการทัพยากรธรรมชาติกระจายอยู่ตามกระทรวงต่างๆอยู่แล้วจำนวนนับแสนล้านบาท แต่กลับมีการจัดไว้ในงบกลางอีก 2 หมื่นล้านบาท ตนอยากทราบว่ามีการกำชับถึงใช้งบประจำอย่างรวดเร็วทันทีทันควันและใช้เงินสำรองฉุกเฉินอย่างประหยัดอย่างไร มีการประเมินหรือมีการกำหนดคำนิยามของคำว่า “ฉุกเฉิน” หรือมีคู่มือการใช้อย่างไร
นอกจากนี้ กรณีการใช้งบประมาณเดินทางไปต่างประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งที่ผ่านมามีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่านายกฯเดินทางไปต่างประเทศจำนวนครั้งมากที่สุด ท่ามกลางครหาว่าไปเที่ยว ชอปปิ้ง ตนจึงเสนอให้ตัดงบเดินทางไปต่างประเทศ อยากให้นายกฯ อยู่บ้านไม่จำเป็นต้องเดินทางไปทุกงาน เลือกไปเฉพาะงานที่สำคัญ เช่น การประชุมประจำปีของสหประชาชาติ หรือประชุมอาเซียน ส่วนงานอื่นๆ มอบหมายให้ รมว.ต่างประเทศไปแทนก็ได้ อีกทั้งแต่ละครั้งที่ไปก็ไม่มีความชัดเจนเรื่องแผนงาน และไม่มีผลสำเร็จออกมาให้เห็น
“การเดินทางไปต่างประเทศมากๆ ของท่านนายกฯ โดยที่ไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐานในประเทศให้เป็นกิจลักษณะ ไม่สามารถปกปิดสายตาชาวโลกได้ การเริ่มต้อนที่บ้านสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเสถียรภาพการเมืองยังไม่เรียบร้อยไปพูดอย่างไรก็เชื่อถือไม่ได้ เสียเงินทองเปล่าๆ ดังนั้นจึงจำเป็นที่บริหารจัดการงบให้ดีสามารถทำดีอย่าฟุ่มเฟือย” นายกษิตกล่าว
นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าการไปดูงานของนายกฯจำนวน 45 ครั้ง 47 ประเทศ ใช้งบถึง 370 ล้านบาท อยากทราบว่าเอาไปทำอะไรให้เกิดประโยชน์หรือไม่ หรือมีการลงนามเอ็มโอยูเกี่ยวกับการซื้อขายยางพาราที่เป็นประโยชน์กับเกษตรกรหรือไม่ ขณะที่นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงแทนนายกรัฐมนตรี ว่าการเดินทางไปต่างประเทศของนายกรัฐมนตรีเป็นการไปเยือนตามคำเชิญของผู้นำต่างประเทศเชิญ ไม่ได้ไปเที่ยว ซึ่งทุกครั้งนายกฯ ก็จะเชิญนักธุรกิจไปด้วย เพื่อแสวงหาโอกาสในการลงทุน การที่นักท่องเที่ยวมาเที่ยวไทยมาก ก็เพราะนายกฯ ไปเชิญ
ด้านนายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงว่า การตั้งงบกลางเพื่อใช้ในกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ 7.3 หมื่นล้านบาท กรรมาธิการไม่ได้ปรับลดหรือเปลี่ยนแปลง ส่วนการพิจารณาเบิกใช้จะมีหลักเกณฑ์ และวัตถุประสงค์กำหนดไว้ชัดเจน แม้หลายคนจะเข้าใจว่าอำนาจการเบิกใช้งบนี้เป็นของนายกฯ คนเดียวเพราะเป็นผู้นำคณะรัฐมนตรี แต่หากดูตามการปฏิบัติแล้วไม่ใช่และต้องเป็นไปหลักเกณฑ์วิธีกำหนด และหลายกรณีที่มีการเสนอของใช้งบฉุกเฉิน แต่นายกฯ อาจไม่อนุมัติทุกครั้งก็ได้ บางครั้งก็เสนอกลับไปให้ทบทวนหรือปรับแผนใหม่
ส่วนค่าใช้จ่ายการเดินทางไปต่างประเทศของนายกฯ และคณะบุคคล จริงๆ แล้วไม่มีการจัดไว้ในงบกลาง แต่จะอยู่ในมาตรา 5 สำนักงานเลขาธิการสำนักนายกรัฐมนตรี และดูเหมือนจะพูดกันมากว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ที่เดินทางไปต่างประเทศมากสุด ตนไม่แน่ใจว่ารวบรวมแล้วจำนวนเท่าไหร่ แต่เป็นการไปปฏิบัติภารกิจเหมือนกับผู้นำในอดีตที่ผ่านมา ที่เมื่อได้รับเลือกตั้งก็จะต้องมีภารกิจไปทำเรื่องกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยเริ่มจากเพื่อนบ้านก่อน ซึ่งอาจจะแตกต่างกับผู้นำบางคนที่เป็นมาแล้ว ที่จะให้ความสำคัญกับการเดินทางไปแถบอาเซียนน้อยกว่า จึงดูเหมือนว่าคนขึ้นมาใหม่ในครั้งแรกจะไปเยือนกลุ่มอาเซียนทุกประเทศ และต้องเข้าร่วมประชุมทุกพันธกรณีที่ไทยร่วมเป็นสมาชิกอย่าง เลี่ยงไม่ได้ ถ้ามอบหมายไม่ได้ต้องไปเอง อีกทั้งต้องดูว่าช่วงเวลาแต่ละคนที่เข้ามาดำรวงตำแหน่งมีการประชุมมากหรือน้อย และแต่ละเทอมที่ดำรงตำแหน่งก็แตกต่างกัน ดังนั้นต้องไปดูว่านายกฯ ไปเพราะพันธกรณีมากกว่าคนอื่นๆ หรือไม่ อีกทั้งการไปเยือนตามคำเชิญถือเป็นโยบายของรัฐบาล และอยู่ที่ผู้นำแต่ละท่านได้รับการตอบรับ และการให้ความสำคัญมากน้อยแค่ไหน จะมาคำนวณว่าไปมากกว่าน้อยกว่าคนอื่นไม่ได้ ต้องดูผลที่ได้ ซึ่งเมื่อผู้มาชี้แจงต่อกรรมาธิการยืนยันว่ามีความสำคัญและเป็นไปตามหลักเกณฑ์ จึงไม่มีการติดใจ
ส่วนค่าใช้จ่ายที่บอกว่ามากกว่าคนอื่นหรือไม่ ต้องดูรายละเอียด โดยค่าใช้จ่ายสูงสุดคือค่าพาหนะ และองค์คณะที่ไป หากไปกลุ่มอาเซียนอาจไม่ไกลก็สามารถใช้เครื่องบินของส่วนราชการได้ แต่กรณีที่ไปประเทศไกล ต้องดูว่ามีเส้นทางการบินของเครื่องบินพาณิชย์ คือสายการบินไทยไปหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องใช้สายการบินพาณิชย์ แต่ถ้าออกนอกเส้นทาง จำเป็นต้องเช่าเหมาลำ ค่าใช้จ่ายอาจสูงขึ้นกว่าปกติ เพราะต้องมีค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าจอด ค่าผ่านน่านฟ้า ในอัตราที่สูงหรือไม่อยู่ที่ข้อจำกัดเทียวบินที่ไป ส่วนองค์ประกอบหลักๆ นายกฯ จะไปพร้อมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเท่าที่จำเป็น ส่วนเอกชนขึ้นอยู่กับแต่ละเส้นทาง ขณะที่สื่อมวลชนมีการเดินทางไปน้อยที่สุด และต้องออกค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่เอง
ทั้งนี้ การจัดงบประมาณสำหรับค่าเดินทางของนายกฯ และคณะที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2553 จำนวน 31 ล้านบาท ปี 2554 จำนวน 80 ล้านบาท แต่ใช้จ่ายไม่หมดเพราะมีการเปลี่ยนรัฐบาล และเกิดปัญหาอุทกภัย ปี 2555 จำนวน 61 ล้านบาท ปี 2556 จำนวน 61 ล้านบาท และปี 2557 ลดลงเหลือ 55 ล้านบาท และเมื่อนายกฯ มีการเดินทางไปเยี่ยมเยียนประเทศต่างๆ ครบแล้วการใช้จ่ายคงจะลดลงไป ส่วนคำถามเรื่องการตั้งงบใช้จ่ายการปฏิรูปการเมืองนั้น ยืนยันว่ายังไม่มีการตั้งงบประมาณแต่อย่างใด
จากนั้นประธานได้สั่งให้โหวตในมาตรา 4 โดย ที่ประชุมเห็นชอบตามกรรมาธิการเสียงข้างมากด้วย คะแนน 291 เสียง ต่อ 126 เสียง จากนั้นจึงพิจารณามาตรา 5 งบสำนักนายกรัฐมนตรีต่อไป