จี้รัฐเร่งคลอดพ.ร.บ.ฯฟันสปาแฝงหมื่นแห่ง
ASTVผู้จัดการรายวัน - ต่างชาติตีตราบริการสปาไทยขายบริการแฝง ฉุดภาพลักษณ์สปาไทยตกต่ำ ภาครัฐเร่งคลอดพระราชบัญญัติสถานประกอบการสปาภายในปีนี้ หวังล้อมคอก ดันสปาไทยนั่งบัลลังก์ที่หนึ่งสปาอาเซียนอย่างสง่างาม สู่การเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 25-30% จากปัจจุบันมูลค่าสปาไทยอยู่ที่ 16,415 ล้านบาท ล้านบาท โตปีละ 10%
นายกรด โรจนเสถียร นายกสมาคมสปาไทย เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาตลาดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพในประเทศไทย ปี2555 มีมูลค่า 140,000 บาท แบ่งเป็น 1.กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน 50% หรือกว่า 70,000 ล้านบาท 2.กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว 36% คิดเป็น 50,400 ล้านบาท และ3.กลุ่มการส่งเสริมสุขภาพ นวดแผนไทย และสปา 14% หรือราว 19,600 ล้านบาท
ทั้งนี้เฉพาะธุรกิจสปานั้น ปีที่ผ่านมามูลค่า 16,415 ล้านบาท โต 10% ในปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่ากว่า 18,000 ล้านบาท ซึ่งสปาที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและเป็นรายได้หลัก คือ สปาประเภท Hotel & Resort Spa ซึ่งมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง และ Day Spa ซึ่งกลุ่มลูกค้าคนไทยนิยมใช้บริการมากขึ้น สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการ กว่า 20% เป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย และ 80% เป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ โดยในพื้นที่กรุงเทพฯส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ฮ่องกง อเมริกา ส่วนพื้นที่ภาคเหนือเป็นนักท่องเที่ยวชาวสแกนดิเนเวีย ยุโรป รวมทั้งนักท่องเที่ยวในตลาดอาเซียน ทั้งอินเดีย เกาหลี จีน ที่หันมาใช้บริการสปาไทยมากขึ้น และกลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการอีก
อย่างไรก็ตามพบว่า ธุรกิจสปาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ 1.โรงแรม รีสอร์ต สปา 30% และ2.เดย์ สปา 70% โดยเฉพาะในกลุ่มเดย์สปานี้ เชื่อว่าทั้งประเทศจะมีผู้ประกอบการรวมกันไม่ต่ำกว่า 40,000 ราย และกว่า 25% หรือราว 10,000 ราย เป็นกลุ่มให้บริการสปาแฝง เช่น กลุ่มสปาที่มีเรื่องของการขายบริการทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง เป็นต้น ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ภาพลักษณ์สปาไทยเสียหาย นักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังติดภาพสปาไทยว่าต้องมีการขายบริการทางเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง
ดังนั้นปีนี้ทางภาครัฐจึงเร่งผลักดันให้เกิด พระราชบัญญัติสถานประกอบการสปาขึ้นให้ได้ในปีนี้ เพื่อจะได้มีข้อบังคับทางกฏหมายเอาผิดและปรับปรุงให้ภาพสปาไทยมีมาตรฐานที่ดีขึ้น และทำให้สปาแฝงเหล่านี้ปิดตัวลง คาดว่าหากทำได้สำเร็จ จะช่วยให้การเติบโตของสปาไทยทำได้ถึงปีละไม่ต่ำกว่า 25-30% ได้แน่ จากปัจจุบันเฉพาะสปาที่มีมาตรฐานของไทย ส่งผลให้สปาไทยติดอันดับ 1 ในอาเซียนอยู่แล้ว
นายกรด กล่าวต่อว่า และก่อนก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 สิ่งสำคัญจะต้องพัฒนาสำหรับธุรกิจสปาไทย ได้แก่ ด้านการศึกษา โดยเฉพาะภาษาในการสื่อสาร ทั้งภาษาอังกฤษและภาษาอื่นๆ การพัฒนาทางด้านความคิดนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างความแตกต่างให้กับสปาไทย รวมทั้งการผลิตบุคลากร ซึ่งตลาดมีความต้องการบุคลากรด้านสปาที่เป็นคนไทยมากกว่าชาติอื่นๆ โดยคาดว่าหลังจากเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน จะมีข้อดีในการเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้มาก เพราะจะเกิดการ แลกเปลี่ยนข้อมูล เกิดการเรียนรู้ เข้าใจเทรนด์ของผู้บริโภคในตลาด เป็นช่องทางให้ประเทศไทยสามารถเข้าไปทำตลาดสปาได้มากยิ่งขึ้น และเป็นการเปิดโอกาสในการลงทุนธุรกิจได้อย่างเส