ม.หอการค้า หั่นจีดีพีเหลือ 2-3%แนะเร่งจัดตั้งรัฐบาล

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ฟันธงจีดีพีไทยลดเหลือ 2-3%เหตุการเมืองยืดเยื้อ และไม่มีรัฐบาลบริหารประเทศ ระบุไทยใกล้

UTCC564

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ ต้องปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปีนี้เหลือ 2-3% จากเดิมคาดการณ์ไว้ที่ 3-4%ในกรณีที่ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ในครึ่งปีแรก และปัญหาการเมืองยืดเยื้อ

อีกกรณีหนึ่งหากปลายไตรมาส 3 ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ เศรษฐกิจในปีนี้อาจติดลบ 1% ส่วนการส่งออกได้รับแรงกดดันจากปัญหาความขัดแย้งของรัสเซีย และยูเครน ทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น อาจส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกไม่เป็นไปตามคาดการณ์ และทำให้การส่งออกไทยปีนี้ขยายตัวเพียง 3-5%จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 5%

นายธนวรรธน์ ระบุว่า เพื่อพยุงเศรษฐกิจรัฐบาลรักษาการ ต้องเร่งฟื้นการท่องเที่ยว รักษาบรรยากาศของประเทศไม่ให้เกิดความรุนแรง ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ รวมทั้งส่งเสริมการค้าชายแดน และการลงทุนของภาคเอกชน หากมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศ ต้องเร่งปฏิรูปภาคการเมืองให้มีเสถียรภาพ เพื่อป้องกันไม่ให้นักลงทุนถอนการลงทุนออกจากประเทศไทย รวมถึงเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐานกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว

ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ในวันที่ 12 มีนาคมนี้ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.25% หรือ ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ก็ไม่เป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจ เพราะกำลังซื้อของประชาชนหดตัวไม่มากนัก แต่หาก กนง.เห็นสัญญาณเชิงลึกที่อาจนำไปสู่การชะลอตัวของเศรษฐกิจ ก็สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ 0.25% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็สามารถทำได้

ด้านนายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หากสถานการณ์การเมืองยังยืดเยื้อไปจนถึงไตรมาสที่ 2 และ 3 จะส่งผลกระทบต่อเงินลงทุนจากต่างประเทศหายไปกว่า 3-4 แสนล้านบาท และทำให้จีดีพีปีนี้ขยายตัวต่ำกว่า 3% แต่ในกรณีเลวร้ายจีดีพีจะใกล้เคียง 2% ซึ่งถือว่าต่ำสุดในอาเซียน โดยเศรษฐกิจของเมียนมาร์ ลาว และเวียดนามจะขยายตัวได้ 7% ขณะที่อินโดนีเซียจะขยายตัว 6% หากเศรษฐกิจไทยขยายตัวต่ำกว่าประเทศอื่นในอาเซียน ประเทศไทยจะไม่สามารถก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ (เออีซี) ได้ตามที่คาดไว้ และอาจจะเสียตำแหน่งให้กับ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย

ดังนั้น หากมีรัฐบาลใหม่ได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ รัฐบาลจะตัองเร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 2557 ให้เร็วที่สุด เพื่อให้มีเม็ดเงินจากการลงทุนภาครัฐเข้าสู่ระบบมากขึ้น และจะต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนต่างชาติให้กลับมาโดยเร็วที่สุดทั้งนี้ เงินลงทุนที่หายไป เนื่องมาจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติลดลง เพราะกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในไทย แบ่งเป็นการลงทุนโดยตรง 2 แสนล้านบาท ซึ่งต่างชาติจะนำเงินไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านแทน รายได้จากการท่องเที่ยวลดลง 50,000 ล้านบาท จากนักท่องเที่ยวที่หายไป 8 แสนคน ขณะที่การส่งออกจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 5% เหลือเพียง 3.9% หรือมูลค่าที่หายไป 80,000 ล้านบาท

 

เครดิตและบทความเรื่องอื่นๆของ mthai ดูทั้งหมด

582

views
Credit : mthai


สงวนลิขสิทธิ์ © 2556 uAsean.com มหานครอาเซียน