จีนเร่งปรับสมดุลเศรษฐกิจ
"รัฐบาลจีน" เร่งปรับเป้านโยบาย รองรับการเติบโตเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นักลงทุนหวั่นอาจกระทบกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
"รัฐบาลจีน" เร่งปรับเป้านโยบาย รองรับการเติบโตเศรษฐกิจที่ชะลอตัว นักลงทุนหวั่นอาจกระทบกลุ่มประเทศกำลังพัฒนานับตั้งแต่เปิดศักราชใหม่ปีนี้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนมีสัญญาณที่แสดงให้เห็นว่าอาจชะลอตัวลง ทำให้มีคำถามหนาหูขึ้นว่ารัฐบาลมีความสามารถที่จะผลักดันให้บรรลุเป้าหมายการขยายตัว โดยไม่ต้องใช้มาตรการที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบการเงินได้หรือไม่
ข้อมูลทางเศรษฐกิจบนแผ่นดินมังกรไม่สามารถรวบรวมได้มากมายนักนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งมีช่วงวันหยุดยาวจากเทศกาลตรุษจีน ส่งผลให้บรรดาโรงงานจำนวนมากต่างปิดทำการ เช่นเดียวกับที่หน่วยงานของรัฐบาลมีการงดเผยแพร่ข้อมูลด้านเศรษฐกิจบางรายการ แต่จากข้อมูลที่สามารถรวบรวมและเปิดเผยได้อย่างเช่นดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ ส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจของจีนกำลังอยู่ในภาวะชะลอตัวลง
ด้านนายหลี่ เต้ากุ่ย ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยชิงหัวและอดีตที่ปรึกษานโยบายการเงินของธนาคารกลางจีนกล่าวว่า เศรษฐกิจปีนี้เริ่มต้นอย่างไม่ค่อยดีนัก ผู้บริหารบนแผ่นดินมังกรจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมรับมือกับการขยายตัวที่อาจลดลง
ในมุมของผู้กำหนดนโยบายภาพรวมของประเทศ การที่เศรษฐกิจขยายตัวลดลงถือเป็นความเสี่ยงรูปแบบหนึ่ง ขณะที่การเติบโตได้น้อยลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากแนวนโยบายของทางการเอง ซึ่งมีความกังวลว่าฟองสบู่สินเชื่อในภาคการเงินจะแตกออกมา จนผลักดันให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินเพิ่มสูงขึ้น แต่รัฐบาลตั้งใจที่จะไม่แตะเบรคในการให้สินเชื่ออย่างรุนแรงเกินไป เนื่องจากเกรงว่าอาจนำไปสู่ การเจริญเติบโตที่ต่ำลงและอัตราการว่างงานเพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่นักสังเกตการณ์ด้านเศรษฐกิจจีนระบุว่า ทางการของประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก อาจปล่อยให้การขยายตัวของเศรษฐกิจลดลงได้ ในช่วงการเปลี่ยนผ่านจากการพึ่งพาปริมาณการลงทุนที่ขับเคลื่อนด้วยสินเชื่อมาสู่การเน้นบริโภคภายในประเทศแทน
ในเดือนหน้า เศรษฐกิจจีนจะได้รับการทดสอบว่าจะสามารถรับมือกับการเติบโตที่ลดน้อยลงได้หรือไม่ โดยจะมีการเปิดเผยเป้าหมายการขยายตัวของเศรษฐกิจประจำปีนี้ภายในการประชุมสมัชชาประชาชนที่มีขึ้น 1 ครั้งต่อปี
นายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีจีนประกาศเมื่อปีที่แล้วว่า เศรษฐกิจของประเทศสามารถเติบโตได้ที่ระดับ 7.2% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวที่ยังคงสามารถสร้างงานเพื่อให้อัตราการว่างงานลดลง และยังสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดปัญหาสังคมได้เช่นเดียวกัน แต่สำนักข่าวระดับท้องถิ่นรายงานว่า ทางปักกิ่งจะตั้งเป้าหมายการเติบโตของเศรษฐกิจเอาไว้ที่ 7.5% ต่อปี เป็นระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากการขยายตัวในปี 2556
อย่างไรก็ดี เมื่อปีที่แล้วเศรษฐกิจจีนเติบโตอยู่ที่ 7.7% เป็นอัตราการขยายตัวในระดับเดียวกับเมื่อปี 2555 แต่เป็นอัตราเติบโตที่ต่ำกว่าระดับการขยายตัวเป็นตัวเลข 2 หลัก ในช่วงหลายขวบปีที่ผ่านมา
ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวเมื่อตอนต้นปี 2556 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายปล่อยเงินกู้ที่มีเงื่อนไขเข้มงวดมากขึ้น รัฐบาลจึงเลือกใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ใช้ปริมาณเพียงเล็กน้อย ด้วยการใช้เงินลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานซึ่งมีเป้าหมายเพิ่มปริมาณกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น แต่ก็นำมาซึ่งภาระหนี้สินของประเทศที่พอกพูนขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ บรรดาผู้กำหนดนโยบายของแดนมังกรยังใช้อัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในระดับสูงตลอดทั้งปีที่แล้ว จนเป็นเหตุให้ต้นทุนการกู้ยืมเงินของภาคธุรกิจเอกชนสูงขึ้น แต่สถานการณ์การกู้ยืมเงินในประเทศกลับหดตัวลง
ข้อมูลปริมาณการปล่อยสินเชื่อของภาคธนาคารและสินเชื่อด้านอื่น ๆ ขยายตัวอย่างแข็งแกร่งในเดือน ม.ค. โดยปริมาณการปล่อยสินเชื่อใหม่ของธนาคารต่าง ๆ มีจำนวน 1.3 ล้านล้านหยวน เพิ่มขึ้นจากเดือนดังกล่าวเมื่อปี 2555 ที่มีจำนวน 1.1 ล้านล้านหยวน ซึ่งแสดงให้เห็นว่าธนาคารกลางจีนไม่ได้ดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากนัก
ทางด้านนายเฉิน หล่อง และนายแอนดรูว์ แบตสัน แห่งธุรกิจวิจัยข้อมูล "เกฟคัล ดรากอนโนมิกส์" ให้ความเห็นว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นสัญญาณล่าสุดที่แสดงให้เห็นว่า ธนาคารกลางของจีนไม่ได้เลวร้ายอย่างที่เคยคาดคิด ขณะที่ "นายจาง จี่เว่ย" นักเศรษฐศาสตร์แห่งวาณิชธนกิจชื่อดัง "โนมูระ" กล่าวว่า นักวิเคราะห์ต่างคาดหวังว่า ในช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ จะได้เห็นรัฐบาลจีนดำเนินนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ ข้อมูลเศรษฐกิจจีนของปีนี้ยังมีอยู่น้อยมาก และเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการส่งสัญญาณที่ผิดพลาดในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา รัฐบาลจึงตัดสินใจรวบรวมข้อมูลตัวเลขการลงทุนและปริมาณผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของเดือนม.ค.และก.พ.ไว้ด้วยกัน ซึ่งจะมีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการในวันที่ 13 มี.ค.นี้
ในขณะที่ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ หรือพีเอ็มไอ แสดงให้เห็นสัญญาณที่เศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่การที่ตัวเลขปริมาณการส่งออกและนำเข้าของญี่ปุ่นเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติในช่วงเดือนม.ค. โดยขยายตัวทั้งด้านส่งออกและนำเข้าราว 10% จากเดือนเดียวกันปีก่อนหน้า ทำให้ยังมีความหวังอยู่บ้างว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำจะส่งผลดีให้จีนได้รับอานิสงส์ไปด้วย
อย่างไรก็ดี นักลงทุนหลายรายยังคงกังวลว่าการที่เศรษฐกิจจีนเติบโตลดลง จะส่งผลกระทบไปยังบรรดากลุ่มประเทศกำลังพัฒนา จนเป็นเหตุให้ประเทศเหล่านี้ประสบกับปัญหาทางเศรษฐกิจได้ในอนาคตอันใกล้นี้