ตลท.ไม่เรียกบจ.แจงกรณีหนุนม็อบกปปส.
ASTV ผู้จัดการรายวัน - ประธาน ตลท. เผยยังไม่มีการสั่ง บจ. จำนวน 2 ราย ชี้แจงกรณีท่อน้ำเลี้ยง กปปส. เพราะยังไม่มีประกาศจาก ศรส. แนะนักลงทุนตั้งสติ ควรมองพื้นฐาน บจ. เป็นหลัก มั่นใจตลาดหุ้นดีดขึ้น หลังการเมืองนิ่ง พร้อมรุกให้ความร่วมมือกลุ่มอาเซียนตอนเหนือ รองรับการเปิดเออีซี ล่าสุดหุ้นปิดลบ 2 จุด ไร้ปัจจัยบวกผลักดัน
นายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ ประธานคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวถึงกรณีที่ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) จะมีการเปิดเผย 61 รายชื่อที่ให้การสนับสนุนการชุมนุมของกลุ่ม กปปส. โดยคาดว่ามี 2 รายชื่อที่เป็นบริษัทจดทะเบียน (บจ.) อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น พบว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีประกาศอย่างเป็นทางการจาก ศรส. ออกมา
ดังนั้น ตลท. จึงยังไม่จำเป็นต้องให้ บจ. มาชี้แจงกับ ตลท. และโดยส่วนตัวมองว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องที่บริษัทต้องชี้แจงกับผู้ถือหุ้นเอง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนยังไม่มีการสอบถามถึงเรื่องนี้แต่อย่างใด
ขณะเดียวกัน หวังว่าจะมีรัฐบาลชุดใหม่โดยเร็วเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นต่อนักลงทุน เพราะสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้นกระทบให้เศรษฐกิจเริ่มชะลอ ทำให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซบเซาลง แต่เชื่อว่าจากปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง และผลประกอบการของ บจ.มีแนวโน้มดีขึ้นจะทำให้ตลาดปรับตัวกลับขึ้นมาได้เมื่อปัญหาต่างๆ คลี่คลาย
“สิ่งที่น่าห่วง คือ ความล่าช้าในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ทำให้กระทบต่อการเบิกจ่ายงบประมาณโดยเฉพาะงบลงทุนภาครัฐที่เชื่อมต่อไปยังการลงทุนภาคเอกชน ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย นอกจากนี้ การที่คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ครบวาระ และยังไม่มีการตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ขึ้นมามีผลกระทบต่อการอนุมัติโครงการลงทุนของเอกชนทั้งไทยและต่างประเทศ ดังนั้น เห็นว่ารัฐบาลรักษาการณ์ควรเสนอคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อแต่งตั้งคณะกรรมการบีโอไอชุดใหม่ เพื่อให้การลงทุนไม่สะดุดและมีกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ”
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ กล่าวว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจที่เปราะบาง ส่งผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเป็นอย่างมาก แต่ตลท.ก็สามารถกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง โดยอยากให้นักลงทุนมองถึงในเรื่องของผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงมีแนวโน้มที่ดีอยู่
ส่วนภาพรวมของเศรษฐกิจไทยในปีนี้มองว่าการส่งออกจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ก็จะส่งผลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจ หรือจีดีพี แต่ยังคงมีความเสี่ยงในเรื่องของการลงทุนภาครัฐ ในด้านการอนุมัติงบประมาณต่างๆ ซึ่งหากยังไม่สามารถจัดตั้งรับบาลใหม่ได้ ก็จะส่งผลไปถึงการลงทุนของภาคเอกชนที่เกี่ยวเนื่องกับการลงทุนภาครัฐ สำหรับด้านการบริโภคมองว่าไม่น่าเป็นกังวลมากนัก จากที่มองเป็นเหตุการณ์ปกติไปแล้ว และด้านการท่องเที่ยว โดยรวมยังอยู่ในภาวะที่ดีอยู่ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีหารหลีกเลี่ยงเข้ามาท่องเที่ยวในเมืองหลวงแต่ยังเหลือที่จะท่องเที่ยวในจังหวัดอื่นๆ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่
นายสถิต กล่าวเพิ่มเติมว่า ตลท.เตรียมแผนงานเพื่อรองรับการลงทุนในสภาวะที่มีความผันผวนในปีนี้ไว้ โดยจะผลักดันให้ ตลท.มีความโดดเด่นเท่าทียมกันกับตลาดหลักทรัพย์ในอาเซียนที่จะทิศทางแผนธุรกิจเพื่อให้เกิดการดำเนินงานไปในทางเดียวกัน จากเดิมได้มีการร่วมมือกับประเทศมาเลเซียและสิงค์โปรมาแล้วในโครงการอาเซียนลิงค์เกจ
โดยขณะนี้ ตลท.จะร่วมมือพัฒนาตลาดทุนกับประเทศในกลุ่มอาเซียนตอนเหนือ คือ ลาว กัมพูชา พม่า และเวียดนาม เพื่อให้นักลงทุนระดับโลกและนักลงทุนทั่วไปมองมายังตลาดหุ้นไทยให้เสมือนหนึ่งเป็นตลาดทุนของอาเซียนโดยรวม โดยขณะนี้ได้สร้างความร่วมมือและทำกิจกรรมร่วมกันไปบางแล้ว ทั้งการให้การศึกษาและการฝึกอบรม ซึ่งจะมีการปรับหลักสูตรวิทยาลัยตลาดทุนของอาเซียน เชิญผู้บริหารและผู้กำกับดูแลตลาดทุนในอาเซียนมาร่วมกิจกรรมการศึกษานี้ด้วย
พร้อมกันนั้น ตลาดหลักทรัพย์?จะพัฒนาระบบไอทีทั้งของตลาดหุ้นและตลาดซื้อขายล่วงหน้า เพื่อให้เป็นตลาดที่ทันสมัยรองรับการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น โดยตามแผนงานในดือนพ.ค.จะเห็นการปรับปรุงและพัฒนาครั้งใหญ่เพื่อเริ่มต้นใช้ระบบใหม่ และจะทำให้เป็นศูนย์กลางการซื้อขายทั้งหุ้นและสัญญาล่วงหน้า นอกจากนั้น ยังอยู่ระหว่างศึกษาการขยายบทบาทของตลาดพันธบัตร และตลาดตราสารหนี้ เพื่อให้นักลงทุนทุกระดับเข้าถึงได้มากขึ้น
นอกจากนี้จะปรับปรุงกองทุนพัฒนาตลาดทุนที่จะทำให้มีความชัดเจนมากขึ้น โดยจะเน้นหนักในการดูแลสังคมมากขึ้น ผ่านโครงการที่เรียกว่า ธุรกิจเพื่อสังคม จากเดิมจะส่งเสริมบริษัทจดทะเบียนให้ดำเนินงานในด้านความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร หรือ CSR แต่ขณะนี้จะส่งเสริมในเรื่องของกิจการเพื่อสังคมหรือธุรกิจเพื่อสังคมมากขึ้น หรือส่งเสริมให้มีบริษัทธุรกิจเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์สาธารณะและสังคมมากขึ้น
ตลาดหุ้นซึมปิดลบ2จุด
ความเคลื่อนไหวตลาดหุ้นไทย วานนี้(13ก.พ.) ปิดที่ระดับ 1,311.87 จุด ลดลง 2.19 จุด (-0.17%) มูลค่าการซื้อขาย 23,630.16 ล้านบาท แกว่งตัวคล้ายคลึงกับตลาดภูมิภาค โดยในระหว่างเทรดตลาดฯรับแรงเก็งกำไรหลังจากดัชนีฯสามารถยืนเหนือระดับ 1,300 จุดขึ้นไปได้ อย่างไรก็ดีตลาดฯยังรอปัจจัยใหม่อยู่ อีกทั้งปัญหาทางการเมืองยังคงกดดันตลาดอย่างต่อเนื่อง
นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.เคที ซีมิโก้ จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวคล้ายกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่เคลื่อนไหวทั้งแดนบวก-ลบ คาดว่าเป็นแรงเก็งกำไรที่เข้ามาหลังจากที่ดัชนีฯสามารถยืนได้เหนือระดับ 1,300 จุดได้ อย่างไรก็ดี ตลาดฯยังรอปัจจัยใหม่อยู่ ส่วนการเมืองในประเทศก็ยังคงกดดันอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจัยจากต่างประเทศเวลานี้ไม่มีประเด็นสำคัญ เพียงรอตัวเลข GDP ของยุโรปที่จะประกาศในวันศุกร์ว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งตลาดคาดว่าจะออกมาดีขึ้น
สำหรับแนวโน้มการลงทุนในสัปดาห์หน้า ดัชนีคงเป็นลักษณะของการเทรดดิ้งในกรอบ 1,300-1,330 จุด ซึ่งยังมีลุ้นตัวเลข GDP ของไทย และญี่ปุ่นที่จะประกาศในวันจันทร์หน้า โดยตลาดฯได้คาดการณ์ GDP ของไทยงวดไตรมาส 4/56 จะเติบโต 2.8% yoy หากออกมาแย่กว่าคาดการณ์ก็อาจจะทำให้หุ้นปรับตัวลงได้