สำรวจอาณาจักรธุรกิจ 3 มหาเศรษฐีอาเซียน


เรียกได้ว่าซายเป็น "เจ้าพ่อ" วงการธนาคาร ห้างสรรพสินค้า และอสังหาริมทรัพย์ในฟิลิปปินส์ เขาเป็นเจ้าของไชน่า แบงก์ ธนาคารเก่าแก่รายใหญ่สุดในฟิลิปปินส์ และธนาคารแบงโก เดอ โอโร ยูนิแบงก์ หรือธนาคารบีดีโอ ยูนิแบงก์



ช่วงปี 2549 ซายกว้านซื้อหุ้นของธนาคารอิควิเทเบิล พีซีไอ ธนาคารที่ปล่อยกู้รายใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของประเทศ เขาซื้อหุ้น 66% โดยที่ตนถือหุ้นอยู่แล้ว 34% จากนั้นในปีถัดมาก็ควบรวมกิจการกับธนาคารบีดีโอ ยูนิแบงก์

การควบรวมกิจการธนาคารครั้งนั้นส่งผลให้บีดีโอ ยูนิแบงก์ เป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่อันดับที่ 2 ของประเทศ ด้วยมูลค่า 17,000 ล้านดอลลาร์

บริษัทเอสเอ็ม อินเวสต์เมนต์ คอร์ป ภายใต้การบริหารของซาย เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มบริษัทที่มีการบริหารดีที่สุดในฟิลิปปินส์ ในปีที่ผ่านมาซายครองตำแหน่งมหาเศรษฐีโลกของนิตยสารฟอร์บสในอันดับที่ 116 ก่อนไต่ขึ้นมาอันดับที่ 68 ในปีนี้ไล่ลงมาตามลำดับ จะเจอชื่อ โรเบิร์ต คูอ็อก มหาเศรษฐีอีกคนในแถบอาเซียน เขามีเชื้อสายจีน-มาเลเซีย เป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในมาเลเซีย และที่มีทรัพย์สินครอบครอง 12,500 ล้านดอลลาร์ ธุรกิจที่สร้างฐานะอันมั่งคั่งของเขามีหลากหลาย ทั้งเหมืองแร่ การเงิน อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจการพิมพ์ ชิปปิ้ง ไปจนถึงภาคการเกษตรและสินค้าแปรรูป ทำฟาร์ม สวนปาล์มน้ำมัน สวนอ้อย ผลิตน้ำตาล แป้ง และธุรกิจเทรดดิ้ง

ปัจจุบันคูอ็อก อายุ 89 ปี เขาเป็นมหาเศรษฐีที่ค่อนข้างเก็บตัว ไม่ค่อยออกสื่อนัก และธุรกิจของเขาส่วนมากจะอยู่ภายใต้การดูแลในครอบครัว ธุรกิจของคูอ็อกออกไปลงทุนทั่วประเทศในแถบเอเชีย ธุรกิจใหญ่ที่สร้างรายได้ให้กับเขาและครอบครัวอย่างมาก คือ บริษัทวิลมาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่มีมูลค่าสูงสุดในตลาดหุ้นสิงคโปร์ และเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับปาล์มน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก

วิลมาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล ดูแลธุรกิจปาล์มน้ำมัน ครอบคลุมตั้งแต่การเพาะปลูก กลั่น บรรจุภัณฑ์ และกระบวนการขาย นอกจากนี้ ยังผลิตไบโอดีเซลด้วย วิลมาร์ฯทำธุรกิจตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ มีโรงงานผลิตในเครือข่ายมากถึง 450 แห่ง ครอบคลุมจีน อินเดีย อินโดนีเซีย และอีกกว่า 50 ประเทศ มีแรงงานนานาชาติภายใต้บริษัทวิลมาร์ฯมากถึง 93,000 คนในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (มีนาคม 2555-มีนาคม 2556) วิลมาร์ฯได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันปาล์มตก แต่มีรายงานว่าเขาถือหุ้นเพียง 10% เท่านั้น

บริษัทในเครือของคูอ็อกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมปี 2554 จำนวน 100 ล้านดอลลาร์ เพราะเขาเข้าสู่ธุรกิจสาขาใหม่ คือ การเป็นผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เนื้อ ภายใต้ชื่อบริษัทยูรูน ฟู้ด กรุ๊ป และในช่วงปีเดียวกัน เขาถือหุ้นของโรงแรมแชงกรี-ลา ฮ่องกง และบริษัทเคอร์รี พร็อพเพอร์ตี้สูงขึ้นด้วย ในปีที่ผ่านมาเขาร่ำรวยเป็นอันดับที่ 64 ของโลก และตกลงมาอยู่ที่ 76 ในปีนี้ส่วนมหาเศรษฐีอาเซียนที่ติดอันดับที่ 1 ใน 100 ของฟอร์บสอีกคน คือ "อนันดา คริชแนน" ชาวมาเลเซีย เชื้อสายทมิฬ ที่รุ่งเรืองในกิจการโทรคมนาคมและมัลติมีเดีย

คริชแนนมีทรัพย์สินเป็นรองจากคูอ็อก หรือเป็นอันดับที่ 2 ของมาเลเซีย เขามีทรัพย์สมบัติในครอบครอง 11,700 ล้านดอลลาร์ เขาเริ่มต้นธุรกิจน้ำมัน ตั้งบริษัทเอ็กซ์ออยล์ เทรดดิ้ง และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งปิโตรนาส บริษัทน้ำมันของรัฐบาลมาเลเซีย กระทั่งช่วง 20 ปีที่ผ่านมาเขาผันตนเองมาจับธุรกิจโทรคมนาคมและมัลติมีเดีย

คริชแนนครอบครองหุ้นจำนวนมากในบริษัทแม็กซิส คอมมิวนิเคชั่น ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในมาเลเซีย ซึ่งมีผู้ใช้บริการมากถึง 10 ล้านคน

คิดเป็นส่วนแบ่งตลาดมาเลเซียถึง 40% เขายังมีหุ้นในบริษัทแอร์เทล บริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการโทรคมนาคมและมัลติมีเดียในอินเดียที่มีธุรกิจอยู่ทั่วในเอเชียใต้ 20 ประเทศ และศรีลังกา เทเลคอม บริษัทให้บริการเครือข่ายสัญญาณโทรศัพท์ และโทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ต และดิจิทัลทีวีรายใหญ่สุดของศรีลังกา

คริชแนน วัย 75 ปี ขยายเครือข่ายธุรกิจด้านสื่อโทรทัศน์กับบริษัทอินเดีย ทั้งบริษัทแอสโตร และอินเดีย ซัน เน็ตเวิร์ก โดยวางแผนจะผลิตคอนเทนต์ทีวีเพื่อเจาะตลาดชาวทมิฬที่อาศัยอยู่ในอเมริกาและยุโรป นอกจากนี้ ยังมองช่องทางไปยังธุรกิจหนังอีกด้วย

คริชแนนเป็นเพื่อนกับมหาธีร์ มูฮัมหมัด อดีตนายกฯมาเลเซีย บริษัทในเครือของเขาได้รับใบอนุญาตทั้งสัญญาณโทรคมนาคม สัญญาณดาวเทียม และสัญญาณโทรทัศน์ ทั้งยังมีสายสัมพันธ์อันดีกับนายกฯนาจิบ ราซัก คนปัจจุบันอีกด้วย

เมื่อคราวเลือกตั้งที่ผ่านมา ธุรกิจของคริชแนนระส่ำระสายเล็ก ๆ เมื่ออันวาร์ อิบราฮิม ประกาศว่าสิ่งที่เขาอยากทำ คือ ลดราคาสมาชิกช่องทีวีดาวเทียมของบริษัทแอสโตร บริษัทผูกขาดยักษ์ใหญ่ของมาเลเซีย เพื่อให้เข้าถึงประชาชนหมู่มาก คริชแนนเล่นแต้มต่อด้วยการปิดปากเงียบ ไม่ตอบโต้ใด ๆ และเดินหน้าทำธุรกิจต่อไป

เขายังคงเป็นเจ้าพ่อโทรคมนาคมในมาเลเซียตัวจริง และได้ตำแหน่งมหาเศรษฐีขยับขึ้นจากอันดับที่ 93 ในปีที่แล้ว มาเป็นอันดับที่ 82 ในปีนี้

 ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ

ติดตามรอบรู้อาเซียนได้ที่ : www.aseanthai.net




 

เครดิตและบทความเรื่องอื่นๆของ aseanthai.net ดูทั้งหมด

1023

views
Credit : aseanthai.net


สงวนลิขสิทธิ์ © 2556 uAsean.com มหานครอาเซียน