ทำไมอินเดียสาดสี-อาเซียนสาดน้ำ

โดย : ธีรภาพ โลหิตกุล teeraparb85@hotmail.com)
 
อีกไม่ถึง 1,000 วัน ชาวอุษาคเนย์ หรือชาวอาเซียน 10 ประเทศ 600 กว่าล้านคน จะหลอมรวมเป็นครอบครัวเดียวกัน ในนาม "ประชาคมอาเซียน” ถามว่า
ถ้าเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว มีเรื่องใดที่จะทำให้คนในครอบครัวนี้แตกแยกกันได้ทันที ก็ตอบแบบ "ฟันธง” ได้ทันทีเช่นกันว่า เรื่องเขตแดน และพื้นที่ทับซ้อน คุยเมื่อไร วงแตกเมื่อนั้น แล้วเรื่องใดที่จะทำให้ชาวอาเซียนรักกัน ตอบได้ว่ามีหลายเรื่อง 1 ในจำนวนนั้น คือเรื่อง วันสงกรานต์ ซึ่งหลายประเทศ หลายชนชาติในอาเซียนเล่นสาดน้ำ และมีงานฉลองเหมือนๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น มอญ พม่า กัมพูชา ลาว ไทย ส่วนชาวเวียด สิงคโปร์ อินโด มาเลย์ บรูไน ฟิลิปปินส์ เลยไปถึงฝรั่งมังค่าและแขกอาหรับ แม้ไม่ใช่วัฒนธรรมของพวกเขา แต่ก็ล้วนแล้วแต่อยากจะมาเล่นสงกรานต์กันทั้งนั้น
 
  
      
 
สันนิษฐานว่าชาวอุษาคเนย์รับวัฒนธรรมสงกรานต์มาจากการละเล่นสาดสีใน เทศกาล "โฮลิ” ของอินเดียแต่โบราณกาล โดยดัดแปลงการสาดสีมาเป็นสาดน้ำ สมมุติฐานนี้หนักแน่นยิ่งขึ้น เมื่อผมได้ไปเห็นวังของบรรดามหาราชาหลายเมืองในรัฐราชสถาน อาทิ วังเมรังการห์ ของมหาราชาแห่งโยธปุระ (Jodhpur)
ภายในวังจะมีพระตำหนัก ห้องหับ และลาน ไว้สำราญพระอิริยาบถในวโรกาสต่างๆ ที่น่าสนใจ คือลานที่สร้างไว้สำหรับมหาราชาได้มีปฏิสันถารกับอาณาราษฎรในเทศกาลสำคัญ อย่าง "โฮลิ” มหาราชาจะเสด็จออกไปประทับในพระราชมณเฑียรใจกลางลาน แล้วชาวบ้านก็จะเข้าไปสาดสี แทนคำถวายพระพรไปที่
พระวรกายของมหาราชาได้ 1 วันในรอบปี

"โฮลิ” หรือ "โหลีปูรณิมา” จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 หรือราวเดือนมีนาคมของทุกปี เป็นวันที่ชาวฮินดูจะนำเอาสิ่งของสกปรกออกจากบ้านไปรวมไว้ที่ใดที่หนึ่ง แล้วเผาทิ้ง ระหว่างเผาก็จะร้องเพลงพื้นบ้าน เรียกว่า "เพลงโหลี” จากนั้นในวันรุ่งขึ้น จะเป็นวันเฉลิมฉลองด้วยการเล่นสาดสี เชื่อกันว่าการเอาสีมาสาดกัน เป็นการปัดเป่าเชื้อโรคร้ายออกจากกายเราให้หมดสิ้น "โหลี” หรือโฮลิ จึงถือเป็นวันตรุษของชาวฮินดู 
 
         
 

บางตำราว่า "โฮลิ” คือการเฉลิมฉลองชัยชนะของพระกฤษณะ (อวตารหนึ่งของพระนารายณ์) ในการปราบนางอสูรร้ายที่ชื่อ "โฮลิกา” ด้วยการเผาผลาญร่าง
นางจนมอดไหม้ จึงรำลึกถึงวีรกรรมของพระกฤษณะ ด้วยการเผาสิ่งสกปรกออกจากบ้าน ซึ่งน่าจะหมายถึงออกจากใจของแต่ละคนด้วย อีกทั้ง "โฮลิ” ยังมีความหมายถึงการสิ้นสุดไปของปีเก่า จากนั้น พระพรหม เทพเจ้าผู้สร้างโลก ก็จะสร้างโลกใหม่ที่สดใสกว่า ในวันรุ่งขึ้นจากวันเพ็ญโหลีปูรณิมา

อาหารที่จะเฉลิมฉลองกันในเทศกาลนี้ จะเป็นขนมที่ทำจากนมและนมเปรี้ยวเป็นหลัก โดยจะงดอาหารจากเนื้อ และยังเชื่อกันอีกว่า หากได้กินขนมในเทศกาลโฮลิอย่างเอร็ดอร่อยด้วยจิตใจเบิกบาน จะเป็นนิมิตหมายที่ดี บ่งบอกถึงความสมบูรณ์พูนสุขในปีใหม่ที่จะมาถึง อีกทั้ง "โฮลิ” ยังถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุด
ฤดูหนาว ย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ จึงนอกจากจะเล่นสาดสีกันแล้ว ก็จะร้องรำทำเพลงและเต้นรำกันเป็นที่สนุกสนาน

จากอินเดีย "โฮลิ” แผ่ขยายมาถึงชาวมอญ ชาวอาเซียนชาติแรกๆ ที่มีอารยธรรมสูง แต่เพราะสภาพอากาศร้อนอยู่แล้ว จึงเปลี่ยนจากสาดสีมาเป็นสาดน้ำ จากนั้นจึงแพร่หลายไปยังชนชาติอื่นๆ ซึ่งเจริญขึ้นภายหลัง อย่างพม่า อยุธยา ล้านนา ล้านช้าง และกัมพูชา ขนาดว่าวันนี้ ชาวมอญไม่มีประเทศแล้ว คนมอญไปอยู่ที่ไหน ก็ยังจัดงานสงกรานต์อย่างเอิกเกริกสุดๆ พิสูจน์ได้จากสงกรานต์พระประแดง สมุทรปราการ
 
อีกเมืองหนึ่งที่เอิกเกริกไม่แพ้กัน คือสงกรานต์หลวงพระบางในลาว ซึ่งชาวลาวเรียก "วันสังขาน” น่าสนใจว่า นางสงกรานต์ (หรือที่ลาวเรียก "นางสังขาน”) จะมีอยู่คนหนึ่งที่ต้องอุ้มพานรองพระเศียรของท้าวกบิลพรหมจริงๆ ตามตำนานที่ว่า... "ท้าวกบิลพรหมโต้ปริศนาพ่ายแก่พระอินทร์ จึงถือสัจจะตัดเศียรตนเอง แต่ด้วยเกรงว่าเศียรของท้าวกบิลพรหม จะตกต้องพื้นโลกจนเป็นกาลวิบัติ พระอินทร์จึงกำหนดให้ธิดาท้าวกบิลพรหม 7 องค์ ผลัดเปลี่ยนหน้าที่กันอัญเชิญเศียรพระบิดาไว้
 
   
         
 
เพื่อนผมที่เป็นชาวลาวหลวงพระบางเล่าว่า 1 ในผู้ได้ตำแหน่ง "รองนางสังขาน” ของลาวต้องอุ้มพานรองเศียรท้าวกบิลพรหม และเวลาเดินก็ต้องเดินนำหน้าเสมอ ส่วน "นางสังขาน” (คนกลาง) จะถืออาวุธ และหรือ เครื่องดนตรีประจำกายนางสังขานของปีนั้นๆ เช่น ปีนี้ นางสังขาน หรือนางสงกรานต์ ชื่อ "กิมิทาเทวี" ทรงพาหุรัด ทัดดอกจงกลนี อาภรณ์แก้วบุษราคัม ภักษาหารกล้วยน้ำ หัตถ์ขวาทรงขรรค์ หัตถ์ซ้ายทรงพิณ เสด็จไสยาสน์ลืมเนตร (นอนลืมตา) มาเหนือหลังมหิงส์ (กระบือ) เป็นพาหนะ ทำนายว่า ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข ดังนั้น นางสังขานของลาวปีนี้ก็จะต้องถือพระขรรค์ กับพิณ


แต่ที่น่าคิด คือถึงแม้นางสงกรานต์ 2555 จะนอนลืมตามาบนหลังควาย ทำนายว่า ประชาชนจะอยู่เย็นเป็นสุข แต่คำทำนายยังมีอีกว่า วันมหาสงกรานต์ปีนี้ตรงกับวันศุกร์ ทำนายว่า ข้าวน้ำ ลูกหมากรากไม้ทั้งหลายจะอุดม ส่วนวันเนา ตรงกับวันเสาร์ ทำนายว่า ข้าวปลาจะแพง จะเกิดเพลิงกลางใจเมือง ขุนนางจะต้องโทษ ข้าวจะตายฝอย น้ำจะน้อยกว่าทุกปี สมณชีพราหมณ์ จะร้อนใจนัก ผักปลาจะแพงแลฯ

ฟังแล้วสรุปไม่ได้ว่า ชะตาบ้าน ชะตาเมืองปีนี้จะเป็นเช่นไรแน่ เอาเป็นว่า "ฟังหูไว้หู” ไม่ลบหลู่ แต่อย่าปักใจเชื่อทั้งหมดจนไม่เป็นอันทำมาหากิน คิดเสียว่าถ้าทุกคนทำตามหน้าที่ สังคมก็จะร่มเย็นเป็นสุข แล้วแต่ละคนก็ร่มเย็นเป็นสุขไปด้วยเช่นกัน
 
 
ที่มา : คมชัดลึก

 

เครดิตและบทความเรื่องอื่นๆของ aseanthai.net ดูทั้งหมด

2776

views
Credit : aseanthai.net


สงวนลิขสิทธิ์ © 2556 uAsean.com มหานครอาเซียน